แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
อาคารของโจทก์มีทั้งโรงเรือนที่เป็นสำนักงานและโรงงานปะปนกันอยู่ ย่อมถือได้ว่าโจทก์ใช้โรงเรือนที่เป็นสำนักงานเพื่อประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมของโจทก์ให้ลุล่วงไปด้วยดี มิใช่โจทก์อยู่เองหรือให้ผู้แทนอยู่เฝ้ารักษาโรงเรือนของโจทก์ทั้งหมดจึงไม่ได้รับงดเว้นภาษีโรงเรือนและที่ดินตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินพุทธศักราช 2475 มาตรา 10 การเพิ่มค่ารายปีย่อมขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจและควรคำนวณค่าภาษีที่จะต้องเสียโดยถือค่ารายปีของปีที่ล่วงแล้วเป็นหลักในการคำนวณมิใช่อยู่ในดุลยพินิจของพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่ประเมินภาษีฝ่ายเดียวที่จะกำหนดค่ารายปีเพิ่มขึ้นเท่าใดก็ได้ การที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยกำหนดค่ารายปีสำหรับทรัพย์สินของโจทก์ขึ้นใหม่และคำนวณภาษีเพิ่มขึ้นกว่าปีที่ล่วงแล้วมากมาย จึงไม่เป็นการถูกต้อง ห้องเครื่องเป็นโรงเรือนที่โจทก์ติดตั้งเครื่องจักรสำหรับใช้ดูดผงซีเมนต์จากเรือบรรทุกปูนซีเมนต์ขึ้นเก็บในยุ้งเก็บซีเมนต์อันเป็นขั้นตอนในการประกอบอุตสาหกรรมผลิตสินค้าของโจทก์ ในการประเมินภาษีจึงต้องลดค่ารายปีลงเหลือหนึ่งในสามของค่ารายปีของทรัพย์สินนั้นตามมาตรา 13แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินพุทธศักราช 2475
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับใบแจ้งรายการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปี พ.ศ. 2523 จากเจ้าพนักงานประเมินของจำเลย โดยกำหนดค่ารายปีและให้โจทก์เสียภาษีโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ รวม 44 รายการ เป็นเงิน287,491.41 บาท โจทก์ไม่เห็นพ้องด้วยกับการประเมินภาษีดังกล่าวรวม32 รายการ โดยโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 14 รายการได้รับงดเว้นภาษีโรงเรือนตามกฎหมาย และอีก 18 รายการเจ้าพนักงานประเมินค่ารายปีและเรียกเก็บภาษีโรงเรือนสูงกว่าปี พ.ศ. 2522 มาก โจทก์จึงยื่นคำร้องต่อจำเลยที่ 2ขอให้พิจารณาใหม่ โดยให้โจทก์เสียภาษีตามจำเลยที่ยื่นไว้แล้ว ต่อมาจำเลยที่ 2ได้วินิจฉัยชี้ขาดให้โจทก์เสียภาษีโรงเรือนตามที่เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินไว้จึงขอให้เพิกถอนการประเมินเรียกเก็บภาษีโรงเรือนและเพิกถอนคำชี้ขาดคำร้องของจำเลยที่ 2 ดังกล่าว และให้จำเลยคืนเงินค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินที่เก็บเกินไปแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ได้รับการงดเว้นภาษีโรงเรือนและที่ดินเพราะโจทก์ใช้โรงเรือนพิพาทเป็นสถานที่ประกอบการอุตสาหกรรมโดยใช้โรงเรือนดังกล่าวเป็นสำนักงานและเป็นสือกลางสำหรับติดต่อธุรกิจ และใช้เนื้อที่ดินทั้งหมดปลูกสร้างโรงเรือนและวางเสาเข็ม ดังนั้นในปี พ.ศ. 2523 พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยจึงได้ประเมินค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินเพิ่มขึ้นจาก ปี พ.ศ. 2522โดยได้ประเมินภาษีโรงเรือนควบกับที่ดินที่ใช้ต่อเนื่องกับอาคารต่าง ๆ ทั้งนี้ได้นำเทียบกับโรงเรือนซึ่งมีขนาดและพื้นที่ใกล้เคียงกับของโจทก์ การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำชี้ขาดคำร้องอุทธรณ์ชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การประเมินเรียกเก็บภาษีและคำชี้ขาดคำร้องอุทธรณ์ของจำเลยชอบแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ควรได้รับการงดเว้นไม่ต้องเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินรวม 14 รายการ ส่วนค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินที่โจทก์ขอลดหย่อน 18 รายการนั้นเห็นว่าการประเมินของเจ้าพนักงานและคำชี้ขาดชอบด้วยกฎหมายแล้วพิพากษาแก้เป็นว่าให้เพิกถอนการประเมินเรียกเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดินรวมทั้งคำชี้ขาดของจำเลยรวม 14 รายการ ให้จำเลยที่ 1 คืนเงินภาษีจำนวน 60,504 บาทแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยที่ 1 คืนเงินค่าภาษีอีก 18 รายการตามคำฟ้องเป็นเงิน 149,540.15 บาท
จำเลยทั้งสองฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาข้อแรกตามฎีกาของจำเลยมีว่า โจทก์มีสิทธิได้รับงดเว้นภาษีโรงเรือนและที่ดินสำหรับโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างรวม 14 รายการหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีอาคารเลขที่ 1365 กลุ่มหนึ่งประกอบด้วยโรงเรือน 30 หลังและอาคารเลขที่ 1516 อีกกลุ่มหนึ่งประกอบด้วยโรงเรือน 14 หลัง ตั้งอยู่คนละฟากถนนประชาราษฎร์ สาย 1 หรือถนนพิบูลสงคราม อาคารทั้งสองกลุ่มนี้มีโรงเรือนที่เป็นสำนักงานพวกหนึ่งและโรงเรือนที่เป็นโรงงานอีกพวกหนึ่ง สำหรับสำนักงานนั้นใช้เป็นที่ทำงานของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร ส่วนโรงงานใช้เป็นที่ผลิตสินค้ากับประกอบการอุตสาหกรรมและเก็บสินค้า และที่ดินฝั่งที่อาคารเลขที่ 1365 ตั้งอยู่นั้นโจทก์ใช้ที่ดินวางเสาเข็ม คานสะพาน และสินค้าที่อยู่ระหว่างขั้นตอนการผลิตเห็นว่าบริษัทโจทก์มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการค้าและอุตสาหกรรมเพื่อมุ่งแสวงหาผลกำไรตามวัตถุประสงค์ ข้อ 3 ของหนังสือบริคณห์สนธิเอกสารหมาย ล.2 เมื่ออาคารของโจทก์ทั้งสองหมายเลขมีโรงเรือนที่เป็นสำนักงานและโรงงานปะปนกันอยู่เช่นนี้ย่อมถือได้ว่าโจทก์ใช้โรงเรือนที่เป็นสำนักงานเพื่อประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมของโจทก์ให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี มิใช่โจทก์อยู่เองหรือให้ผู้แทนอยู่เฝ้ารักษาโรงเรือนทั้งหมดของโจทก์จึงมิได้รับงดเว้นภาษีโรงเรือนและที่ดินตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช 2475 มาตรา 10 ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 3แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินแก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2475
ปัญหาวินิจฉัยข้อต่อไปตามฎีกาของโจทก์มีว่า โจทก์มีสิทธิได้รับการลดหย่อนภาษีโรงเรือนและที่ดินสำหรับโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างรวม 18 รายการตามคำฟ้องหรือไม่ เห็นว่า การประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินต้องคิดคำนวณตามค่ารายปีของโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นกับที่ดินซึ่งใช้ต่อเนื่องกับโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นนั้น ซึ่งค่ารายปีก็ได้แก่จำนวนเงินค่าเช่าที่ทรัพย์สินนั้น ๆ สมควรจะให้เช่าได้ในปีหนึ่ง ๆ หากทรัพย์สินนั้นให้เช่า ก็ต้องถือค่าเช่าเป็นหลักในการคำนวณค่ารายปีแต่ถ้าหากมีเหตุอันบ่งให้เห็นว่าค่าเช่านั้นมิใช่จำนวนอันสมควรจะให้เช่าได้ในปีหนึ่ง ๆพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมมีอำนาจแก้หรือคำนวณค่ารายปีเสียใหม่ได้ ดังนั้น การคำนวณค่ารายปีแต่ละปีสำหรับโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างที่เจ้าของให้เช่าหรือไม่ได้ให้เช่าก็ดีจึงอาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ จำเลยที่ 1 ได้กำหนดค่ารายปีแต่ละปีสำหรับทรัพย์สินเป็นมาตรฐานในการคำนวณภาษีไว้ทุกเขตเพื่อความเป็นธรรม และการเพิ่มค่ารายปีย่อมขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจตามที่นายสุเวทย์เบิกความ ซึ่งน่าจะประเมินภาวะเศรษฐกิจจากดรรชนีราคาผู้บริโภคของทางราชการตามที่โจทก์นำสืบมิใช่อยู่ในดุลยพินิจของพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่ประเมินภาษีแต่ฝ่ายเดียวที่จะกำหนดค่ารายปีเพิ่มขึ้นเท่าใดก็ได้ ทั้งควรคำนวณค่าภาษีที่จะต้องเสียในปี พ.ศ. 2523 โดยถือค่ารายปี พ.ศ. 2522 เป็นหลักในการคำนวณ ดังที่พระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช 2475 มาตรา 18บัญญัติว่า “ค่ารายปีของปีที่ล่วงแล้วนั้น ท่านให้เป็นหลักสำหรับการคำนวณค่าภาษีซึ่งจะต้องเสียในปีต่อมา” ศาลฎีกาจึงเห็นว่าการที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 กำหนดค่ารายปีสำหรับทรัพย์สินของโจทก์ประจำปี พ.ศ. 2523ขึ้นใหม่และคำนวณภาษีโรงเรือนและที่ดินของโจทก์เพิ่มขึ้นกว่าปี พ.ศ. 2522มากมาย เมื่อเปรียบเทียบตารางการเปรียบเทียบการประเมินภาษีระหว่าง ปี พ.ศ. 2522กับ พ.ศ. 2523 (เอกสารหมาย จ.18) แล้วย่อมไม่เป็นการถูกต้อง เมื่อดรรชนีราคาผู้บริโภคสำหรับอาคารเคหะสถานเพิ่มขึ้นประมาณ 19.1 เปอร์เซนต์ ตามเอกสารหมาย จ.16เล่มที่ 10 หน้าที่ 5 อัตราค่ารายปีและค่าภาษีโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างของโจทก์จึงควรเพิ่มขึ้นไม่เกิน 20 เปอร์เซ็นต์ ดังที่โจทก์นำสืบ สมควรลดหย่อนค่าภาษีโรงเรือน17 รายการตามฟ้องลง ส่วนรายการห้องเครื่องที่โจทก์ขอให้ลดค่ารายปีลง 1 ใน 3ก่อนประเมินภาษี และประเมินภาษีลดลงไปคงเป็นเงินค่าภาษี 300 บาทนั้น พิเคราะห์แล้วโจทก์นำสืบว่าห้องเครื่องเป็นโรงเรือนที่โจทก์ติดตั้งเครื่องจักรสำหรับใช้ดูดผงซีเมนต์จากเรือบรรทุกปูนซิเมนต์ขึ้นเก็บในยุ้งเก็บซีเมนต์ผงอันเป็นขั้นตอนในการประกอบอุตสาหกรรมผลิตสินค้าของโจทก์ ฝ่ายจำเลยนำสืบว่าเครื่องจักรที่จะลดภาษีให้ตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินพุทธศักราช 2475 มาตรา 13 นั้น ต้องเป็นเครื่องจักรที่ใช้ผลิตสินค้าหรือให้กำเนิดสินค้าเท่านั้น มิได้นำสืบหักล้างว่าเครื่องจักรดังกล่าวมิได้เป็นเครื่องจักรที่ใชดำเนินการอุตสาหกรรมจึงต้องฟังว่าเครื่องจักรของโจทก์เป็นเครื่องจักรที่ใช้เพื่อดำเนินการอุตสาหกรรมตามที่โจทก์นำสืบ ตามมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติว่า “ถ้าเจ้าของโรงเรือนใดติดตั้งส่วนควบที่สำคัญมีลักษณะเป็นเครื่องจักรกล เครื่องกระทำหรือเครื่องกำเนิดสินค้า เพื่อใช้ดำเนินการอุตสาหกรรมบางอย่าง เช่น โรงสี โรงเลื่อย ฯลฯ ขึ้นในโรงเรือนนั้น ๆ ในการประเมินท่านให้ลดค่ารายปีลงเหลือหนึ่งในสามของค่ารายปีของทรัพย์สินนั้นรวมทั้งส่วนควบดังกล่าวแล้วด้วย”
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้ลดหย่อนค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินของโจทก์ตามใบแจ้งรายการประเมินรวม 18 รายการ รวมเป็นเงิน149,540.15 บาท และให้เพิกถอนคำชี้ขาดของจำเลยที่ 2 เฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับรายการประเมินดังกล่าว ให้จำเลยที่ 1 คืนเงินค่าภาษีแก่โจทก์ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ขอให้เพิกถอนการประเมินและคำชี้ขาดของจำเลยที่ 2 รวม 14 รายการ