คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2130/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บริษัทจำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล และเป็นสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แม้จำเลยที่ 2 และที่ 3 จะเป็นกรรมการของบริษัทจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 เป็นผู้อำนวยการสาขาของจำเลยที่ 1 ที่กรุงเทพมหานครด้วยอีกตำแหน่งหนึ่ง เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 1 มอบอำนาจการดำเนินกิจการของสาขากรุงเทพมหานครให้แก่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 โดยระบุว่า ผู้รับมอบอำนาจคนใดคนหนึ่งมีอำนาจ ดำเนินกิจการแทนจำเลยที่ 1 แสดงว่าผู้รับมอบอำนาจต่างมีสิทธิดำเนินกิจการแทนจำเลยที่ 1 ได้โดยเอกเทศประกอบกับการสั่งซื้อขายหุ้นโจทก์สั่งกับจำเลยที่ 4 ถึงที่ 6 โดยตรงจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง กับการกระทำใด ๆที่โจทก์อ้างว่าเป็นการฉ้อโกงโจทก์ และ ไม่ต้องรับผิดชอบในการดำเนินงานของสาขาจำเลยที่ 1 ที่ กรุงเทพมหานคร จึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า บริษัทจำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคล ประกอบธุรกิจเงินทุนและค้าหลักทรัพย์ และเป็นสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยโดยมีอำนาจเป็นตัวแทน นายหน้าซื้อขายหุ้นของบริษัทต่าง ๆ ในตลาดหลักทรัพย์จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๔ เป็นผู้จัดการสำนักงานสาขา จำเลยที่ ๑ ที่กรุงเทพมหานคร โดยมีจำเลยที่ ๕และที่ ๖ เป็นรองผู้จัดการสาขา จำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๖ ได้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ ๑ให้เป็นตัวแทน มีอำนาจดำเนินกิจการทั้งปวงของสำนักงานสาขา จำเลยทั้งหกร่วมกันฉ้อโกงโจทก์ในการซื้อหุ้นของบริษัทเฟิสท์ทรัสต์ จำกัด ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑, ๘๓พระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๑๗ มาตรา ๔๒
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งว่า ฟ้องของโจทก์เฉพาะจำเลยที่ ๑ถึงที่ ๓ ไม่มีมูล ไม่ประทับฟ้องไว้พิจารณา ส่วนคดีสำหรับจำเลยที่ ๔ ถึงที่ ๖ มีมูลให้ประทับฟ้องของโจทก์เฉพาะจำเลยที่ ๔ ถึงที่ ๖ ไว้พิจารณา
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ประทับฟ้องของโจทก์ทุกข้อหาไว้พิจารณาสำหรับคดีที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ด้วย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ประทับฟ้องโจทก์ในข้อหาสำหรับจำเลยที่ ๑ ด้วย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลต้องกระทำการผ่านกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน เมื่อคดีสำหรับจำเลยที่ ๑ มีมูลจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ ๑ ต้องร่วมรับผิดด้วยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จะเป็นกรรมการของบริษัทจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๓ เป็นผู้อำนวยการสาขาของจำเลยที่ ๑ ที่กรุงเทพมหานครด้วยอีกตำแหน่งหนึ่ง แต่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ มอบอำนาจการดำเนินกิจการของสาขากรุงเทพมหานครให้แก่จำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๖ ตามเอกสารหมาย จ.๒ โดยระบุว่าผู้รับมอบอำนาจคนใดคนหนึ่งมีอำนาจดำเนินกิจการแทนจำเลยที่ ๑ แสดงว่าผู้รับมอบอำนาจต่างมีสิทธิดำเนินกิจการแทนจำเลยที่ ๑ ได้โดยเอกเทศ ประกอบกับโจทก์เบิกความว่าในการซื้อขายหุ้นโจทก์สั่งกับจำเลยที่ ๔ ถึงที่ ๖ โดยตรง ฉะนั้นจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำใด ๆ ที่โจทก์อ้างว่าเป็นการฉ้อโกงโจทก์ และไม่ต้องรับผิดชอบในการดำเนินงานของสาขาจำเลยที่ ๑ ที่กรุงเทพมหานคร จึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑
พิพากษายืน

Share