คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2291/2553

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คู่ความแถลงขอท้ากันโดยให้ถือเอาคำเบิกความของ ก. เป็นยุติ โดยหาก ก. เบิกความได้ข้อเท็จจริงว่า ก. เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. ได้รับเงินจากจำเลยทั้งสองจำนวน 1,000,000 บาท โดยโจทก์และจำเลยทั้งสองออกฝ่ายละครึ่ง ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวในส่วนของโจทก์ จำเลยทั้งสองสำรองจ่ายและให้หักออกจากเงินค้ำประกันที่จำเลยทั้งสองจะต้องคืนแก่โจทก์ โจทก์ยอมแพ้คดี แต่หาก ก. เบิกความได้ข้อเท็จจริงไม่ตรงคำท้า จำเลยทั้งสองยอมแพ้ ปรากฏว่า ก. แถลงว่า ก. เป็นผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. ได้รับเงินจำนวน 1,000,000 บาท จากจำเลยที่ 2 จริง แต่โจทก์และจำเลยทั้งสองไม่ได้ตกลงกันออกเงินจำนวนดังกล่าวฝ่ายละครึ่ง และไม่ได้ตกลงเรื่องจำเลยทั้งสองทดรองจ่ายในส่วนของโจทก์ครึ่งหนึ่ง และให้หักออกจากเงินค้ำประกันที่จำเลยทั้งสองจะต้องคืนแก่โจทก์ ดังนี้ คำเบิกความของ ก. ได้นัยข้อเท็จจริงตามคำท้าแล้วและไม่เป็นเหตุให้จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดตามข้อโต้เถียง จำเลยทั้งสองจึงต้องแพ้คดีตามที่ท้ากันไว้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้เงินจำนวน 659,375 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 500,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์และจำเลยทั้งสองตกลงท้ากันว่า ให้ถือเอาคำเบิกความของนายเกรียงไกรเป็นยุติ โดยหากนายเกรียงไกรเบิกความได้ข้อเท็จจริง เป็นไปตามคำท้า โจทก์ยอมแพ้ แต่หากนายเกรียงไกรเบิกความได้ข้อเท็จจริงไม่เป็นไปตามคำท้า จำเลยทั้งสองยอมแพ้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้เงินแก่โจทก์ จำนวน 659,375 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินต้นจำนวน 500,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2546) เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ 1,000 บาท แทนโจทก์
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 28 เมษายน 2546 ซึ่งศาลชั้นต้นบันทึกไว้มีข้อความว่า คู่ความร่วมกันแถลงขอท้ากันโดยให้ถือเอาคำเบิกความของนายเกรียงไกร เป็นยุติ โดยหากนายเกรียงไกรเบิกความได้ข้อเท็จจริงว่า นายเกรียงไกรซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัดสยามไทยการโยธา ได้รับเงินจากจำเลยทั้งสองจำนวน 1,000,000 บาท โดยโจทก์และจำเลยทั้งสองออกฝ่ายละครึ่ง ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวในส่วนของโจทก์ จำเลยทั้งสองสำรองจ่ายและให้หักจากเงินค้ำประกันที่จำเลยทั้งสองจะต้องคืนแก่โจทก์ โจทก์ยอมแพ้คดี แต่หากนายเกรียงไกรเบิกความได้ข้อเท็จจริงไม่เป็นไปตามคำท้า จำเลยทั้งสองยอมแพ้ หลังจากนั้นปรากฏข้อความจริงตามรายงานกระบวนพิจารณา ฉบับลงวันที่ 1 กรกฎาคม 2546 ว่า คู่ความทั้งสองฝ่าย และนายเกรียงไกร มาศาล นายเกรียงไกรได้สาบานว่าจะให้การด้วยความสัตย์จริง ศาลสอบถามนายเกรียงไกรตามคำท้าแล้ว นายเกรียงไกรแถลงว่า นายเกรียงไกรเป็นผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัดสยามการโยธาได้รับเงินจำนวน 1,000,000 บาท จากจำเลยที่ 2 จริง แต่โจทก์และจำเลยทั้งสองไม่ได้ตกลงกันออกเงินจำนวนดังกล่าวฝ่ายละครึ่ง และไม่ได้ตกลงเรื่องจำเลยทั้งสองทดรองจ่ายในส่วนของโจทก์ครึ่งหนึ่ง และให้หักออกจากเงินค้ำประกันที่จำเลยทั้งสองจะต้องคืนแก่โจทก์ ดังนี้ จำเลยทั้งสองจึงต้องแพ้คดีตามที่ท้ากันไว้ ตามที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาถูกต้องแล้ว ที่จำเลยทั้งสองฎีกาโต้แย้งว่า คำเบิกความของนายเกรียงไกรไม่เป็นไปตามคำท้า เพราะไม่ครบถ้วนในข้อที่ว่าโจทก์และจำเลยทั้งสองตกลงออกเงินจำนวนดังกล่าว (1,000,000 บาท) ฝ่ายละครึ่ง และในส่วนของโจทก์ จำเลยทั้งสองทดรองจ่ายและให้หักออกจากเงินค้ำประกันที่จำเลยทั้งสองจะต้องคืนแก่โจทก์ ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสองแพ้คดีไม่ได้ ต้องให้คู่ความสืบพยานกันต่อไปนั้น เห็นว่า ตามคำเบิกความของนายเกรียงไกรหาใช่ไม่เป็นไปตามคำท้าซึ่งจำเลยทั้งสองจะต้องแพ้คดีตามที่ท้ากัน ตรงกันข้ามมีนัยเป็นบริบทดังกล่าวทีเดียว ทั้งไม่เป็นไปตามข้อเถียงในคดีที่จำเลยทั้งสองอ้างเป็นเหตุให้ไม่ต้องรับผิดตามฟ้อง จำเลยทั้งสองจึงต้องแพ้คดีตามคำท้า ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าทนายความในชั้นฎีกา 1,000 บาท แทนโจทก์.

Share