คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15045/2551

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับทิศทางการขับรถของจำเลยที่ 1 กับ ป. ที่ปรากฏในทางนำสืบ แม้จะเป็นทิศทางตรงกันข้ามกับที่บรรยายฟ้อง แต่เมื่อจำเลยทั้งสองมิได้ให้การหรือนำสืบปฏิเสธข้อเท็จจริงดังกล่าว ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงเป็นเพียงพลความในการวินิจฉัยคดีเท่านั้น ในคดีแพ่งเป็นเรื่องการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน เมื่อพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมีน้ำหนักรับฟังดีกว่าพยานหลักฐานจำเลย ศาลย่อมพิพากษาให้จำเลยเป็นฝ่ายแพ้คดี โดยโจทก์หาจำต้องนำสืบให้สมฟ้องดั่งคดีอาญาไม่ และมิต้องด้วยข้อห้ามมิให้พิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน 279,843 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 270,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน 270,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2543 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ดอกเบี้ยจนถึงวันฟ้อง (วันที่ 28 ธันวาคม 2543) เป็นเงินไม่เกิน 9,843 บาท ตามที่โจทก์ขอ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 1,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า ตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า โจทก์บรรยายฟ้องกล่าวอ้างว่า จำเลยที่ 1 ขับรถไปตามถนนสายตาคลี – ตากฟ้า จากอำเภอตาคลีไปทางอำเภอตากฟ้า จำเลยที่ 1 ขับแซงรถยนต์บรรทุกล้ำเข้าไปในช่องเดินรถอีกฟากหนึ่งโดยประมาท และชนกับรถยนต์ที่นายประดิษฐ์ขับสวนทางมาจากอำเภอตากฟ้าไปทางอำเภอตาคลี แต่ทางพิจารณาโจทก์นำสืบข้อเท็จจริงว่า ขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 ขับรถเส้นทางจากอำเภอตากฟ้าไปทางอำเภอตาคลี ส่วนนายประดิษฐ์ขับรถเส้นทางจากอำเภอตาคลีไปทางอำเภอตากฟ้า จึงเป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็นและรับฟังมิได้ว่าจำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เห็นว่า เหตุรถชนกันในคดีนี้ จำเลยที่ 1 ได้ถูกดำเนินคดีอาญาในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายและทรัพย์สินเสียหายเพียงฝ่ายเดียว คดีถึงที่สุดโดยศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง ในคดีส่วนแพ่งจึงต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องเกี่ยวกับทิศทางการขับรถของจำเลยที่ 1 กับนายประดิษฐ์ตรงกันข้ามกับที่โจทก์นำสืบ แต่จำเลยทั้งสองก็มิได้ให้การปฏิเสธข้อเท็จจริงดังกล่าว คงต่อสู้เพียงว่า นายประดิษฐ์เป็นฝ่ายขับรถแซงรถยนต์บรรทุกและชนรถที่จำเลยที่ 1 ขับสวนทาง เหตุรถชนกันเกิดขึ้นเพราะความประมาทของนายประดิษฐ์ นอกจากนี้ ในชั้นพิจารณาสืบพยานจำเลย จำเลยที่ 1 ก็เบิกความต่อสู้เกี่ยวกับเหตุรถชนกันเพียงว่า นายประดิษฐ์มีส่วนประมาทด้วยเท่านั้น ซึ่งเท่ากับจำเลยที่ 1 รับว่า ตนเป็นฝ่ายประมาทนั่นเอง สำหรับจำเลยที่ 2 ก็มิได้นำสืบต่อสู้ในเรื่องเหตุที่รถชนกันว่า มิใช่เป็นความประมาทของจำเลยที่ 1 คงนำสืบต่อสู้เพียงว่าจำเลยที่ 2 มิใช่นายจ้างของจำเลยที่ 1 ดังนี้ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับทิศทางการขับรถของจำเลยที่ 1 กับนายประดิษฐ์ที่ปรากฏในทางนำสืบแม้จะเป็นทิศทางการตรงกันข้ามกับที่บรรยายฟ้อง แต่เมื่อจำเลยทั้งสองมิได้ให้การหรือนำสืบปฏิเสธดังที่ศาลฎีกาได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงเป็นเพียงพลความในการวินิจฉัยคดีเท่านั้น ซึ่งพยานโจทก์คือนายประดิษฐ์เบิกความว่า เหตุรถชนกันเกิดขึ้นเพราะจำเลยที่ 1 ขับรถแซงรถยนต์บรรทุกล้ำเข้าไปในทางเดินรถของนายประดิษฐ์ กับพยานโจทก์อีกปากหนึ่งคือพันตำรวจตรีไพฑูรย์ พนักงานสอบสวนเบิกความว่า พันตำรวจตรีไพฑูรย์ไปตรวจสถานที่เกิดเหตุ จากหลักฐานที่ปรากฏน่าเชื่อว่าเหตุเกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 1 เพียงฝ่ายเดียว พันตำรวจตรีไพฑูรย์ได้ลงรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี และดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยที่ 1 ดังนี้ ในคดีแพ่งเป็นเรื่องการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน เมื่อพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมีน้ำหนักรับฟังดีกว่าพยานหลักฐานจำเลยทั้งสอง ศาลย่อมพิพากษาให้จำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายแพ้คดีต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนต่อโจทก์ในฐานะผู้รับช่วงสิทธิจากบริษัทซิโน – ไทยเอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้ได้รับความเสียหายได้ โดยโจทก์หาจำต้องนำสืบให้สมฟ้องดั่งคดีอาญาไม่ และมิต้องด้วยข้อห้ามมิให้พิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ที่จำเลยทั้งสองยกขึ้นอ้างในฎีกาไม่ ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน โจทก์ไม่ได้แก้ฎีกา จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้

Share