คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 114/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คณะกรรมการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดทางแพ่งทำการสอบสวนแล้วมีความเห็นว่า จำเลยเป็นผู้ต้องรับผิดและแจ้งให้เลขาธิการของโจทก์ทราบ ถือได้ว่าโจทก์ได้รู้ถึงผู้ที่ต้องรับผิดทางแพ่งว่าเป็นจำเลยตั้งแต่ก่อนหรืออย่างช้าที่สุดในวันที่เลขาธิการของโจทก์มีบันทึกถึงผู้ทรงคุณวุฒิด้านให้คำปรึกษากฎหมาย กระทรวงหมาดไทย คือวันที่ 29 ธันวาคม 2537 แม้ต่อมาเลขาธิการของโจทก์จะเสนอขอความเห็นจากผู้ทรงคุณวุฒิด้านให้คำปรึกษากฎหมาย กระทรวงมหาดไทยก็ตาม แต่ผลการพิจารณาก็มิได้เปลี่ยนแปลงตัวผู้รับผิดทางแพ่งแต่อย่างใด และแม้เลขาธิการของโจทก์จะลงนามเห็นชอบให้ดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนฯ เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2538 ก็ตาม ก็ไม่ทำให้การรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนของโจทก์อันเป็นการเริ่มนับอายุความเปลี่ยนแปลงไป เพราะมิฉะนั้นแล้วอายุความก็ขยายออกไปได้เรื่อย ๆ แล้วแต่ความล่าช้าในการดำเนินการของโจทก์ โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2539 พ้นกำหนด 1 ปี นับแต่วันรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน คดีของโจทก์จึงขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้บังจำเลยชำระเงินจำนวน 159,389.04 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 140,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า ขณะที่จำเลยขับรถยนต์ของโจทก์ไปถึงบริเวณที่เกิดเหตุซึ่งมีรถยนต์ปัดฝุ่นกำลังทำงานอยู่ จำเลยได้ใช้ความระมัดระวังโดยชะลอความเร็วของรถลงเหลือประมาณ 20 ถึง 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และจำเลย ขับรถล้ำเส้นแบ่งทางเดินรถเข้าไปเพียงเล็กน้อยเพื่อหลบหลีกรถยนต์ปัดฝุ่นดังกล่าว เหตุที่รถชนกันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของนายสุนทรเพียงฝ่ายเดียวซึ่งขับรถมาด้วยความเร็วสูง โจทก์ไม่ฟ้องคดีภายใน 1 ปี นับแต่วันละเมิดและรู้ตัวผู้ต้องรับผิด คดีจึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 90,000 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2537 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2537 จำเลยขับรถยนต์ของโจทก์ไปราชการในเขตอำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร ระหว่างเดินทางได้เกิดเหตุเฉี่ยวชนกับรถยนต์บรรทุกซึ่งมีนายสุนทร บุตรดี เป็นผู้ขับ ทำให้รถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหาย ต่อมาโจทก์ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนหา ผู้รับผิดทางแพ่ง คณะกรรมการสอบสวนทำการสอบสวนแล้วมีความเห็นว่าจำเลยเป็นผู้ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย ทางแพ่งให้แก่โจทก์ โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2539 มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ คดีนี้ข้อเท็จจริงยุติว่า เลขาธิการของโจทก์ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนหา ผู้รับผิดทางแพ่งในกรณีนี้แล้ว คณะกรรมการสอบสวนสรุปผลการสอบสวนว่าจำเลยเป็นผู้ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่งให้แก่โจทก์และแจ้งให้เลขาธิการของโจทก์ทราบตามบันทึกปกปิดที่ มท 1429/52 ลงวันที่ 27 กันยายน 2537 แต่กองนิติการของโจทก์พิจารณาแล้วไม่เห็นด้วยกับคณะกรรมการสอบสวน โดยเห็นว่าจำเลยไม่ต้องรับผิด แล้วสำนักงานเลขานุการกรมของโจทก์ได้พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง เห็นว่าความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนถูกต้อง ต่อมาเลขาธิการของโจทก์ได้มีบันทึกปกปิดที่ มท 1429/2970 ลงวันที่ 29 ธันวาคม 2537 ขอความเห็นต่อผู้ทรงคุณวุฒิด้านให้คำปรึกษากฎหมายกระทรวงมหาดไทย เพื่อขอความเห็นว่าบุคคลใดต้องรับผิดทางแพ่ง ต่อมาผู้ทรงคุณวุฒิด้านให้คำปรึกษากฎหมาย กระทรวงมหาดไทย มีความเห็นว่าความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนถูกต้องแล้ว คือจำเลยต้องเป็นผู้รับผิด เช่นนี้ถือได้ว่าโจทก์ได้รู้ถึงผู้ที่ต้องรับผิดทางแพ่งว่าเป็นจำเลยตั้งแต่ก่อนหรืออย่างช้าที่สุดในวันที่โจทก์มีบันทึกถึงผู้ทรงคุณวุฒิด้านให้คำปรึกษากฎหมาย กระทรวงมหาดไทย คือวันที่ 29 ธันวาคม 2537 แล้ว แม้ต่อมาเลขาธิการของโจทก์จะเสนอขอความเห็นจากผู้ทรงคุณวุฒิด้านให้คำปรึกษากฎหมาย กระทรวงมหาดไทย ก็ตาม แต่ผลการพิจารณาก็มิได้เปลี่ยนแปลงตัวผู้รับผิดทางแพ่งแต่อย่างใด และแม้เลขาธิการของโจทก์จะลงนามเห็นชอบให้ดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2538 ก็ตาม ก็ไม่ทำให้การรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัว ผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนของโจทก์อันเป็นการเริ่มนับอายุความเปลี่ยนแปลงไป เพราะมิฉะนั้นแล้ว อายุความก็จะขยายออกไปได้เรื่อย ๆ แล้วแต่ความล่าช้าในการดำเนินการของโจทก์ เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2539 พ้นกำหนด 1 ปี นับแต่วันรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคหนึ่ง คดีของโจทก์จึงขาดอายุความ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share