แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยร่วมมิใช่เจ้าของที่ดินและตึกแถวพิพาท การที่จำเลยร่วมโอนขายที่ดินและตึกแถวพิพาทซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ให้แก่จำเลยที่ 3 ดังนี้จำเลยที่ 3 ผู้รับโอนมิได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและตึกแถวพิพาทจะถือว่าได้มีการโอนกันตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 ไม่ได้เพราะจำเลยร่วมผู้โอนไม่ใช่เจ้าของ และจำเลยที่ 3 จะยกเอาเหตุที่ได้รับโอนโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตขึ้นต่อสู้โจทก์ผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริงหาได้ไม่ โจทก์มีสิทธิติดตามเอาที่ดินและตึกแถวพิพาทของโจทก์คืนได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นกรมในรัฐบาล มีมีจำเลยที่ 2 เป็นข้าราชการในสังกัดของจำเลยที่ 1 มีตำแหน่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาธนบุรี มีอำนาจหน้าที่ในการจดทะเบียนนิติกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับที่ดินในเขตธนบุรี โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 18347 ตำบลวัดท่าพระ(เกาะท่าพระ) อำเภอบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร พร้อมตึกแถวสองชั้นครึ่งเลขที่ 117/234 เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2523 นายยงยุทธนันทกุล ได้ใช้หนังสือมอบอำนาจปลอมไแปสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาธนบุรี ทำสัญญาขายที่ดินและตึกแถวดังกล่าวของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 3 โดยโจทก์ไม่เคยมอบอำนาจให้ผู้หนึ่งผู้ใดทำสัญญาขายที่ดินและตึกแถวของโจทก์ เจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครสาขาธนบุรี ได้จดทะเบียนนิติกรรมซื้อขายที่ดินและตึกแถวดังกล่าว โดยไม่ตรวจสอบลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจให้ถูกต้องเสียก่อน และจำเลยที่ 3 ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินและตึกแถวดังกล่าวตั้งแต่วันทำสัญญา ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้จำเลยทั้งสามเพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินและตึกแถวให้โจทก์กลับเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์แต่ผู้เดียว หากจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทนให้จำเลยที่ 3 ส่งมอบโฉนดที่ดินและที่ดินพร้อมด้วยตึกแถวพิพาทคืนแก่โจทก์ในสภาพที่เรียกร้อย และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงิน 80,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และใช้ค่าเสียหายอีกเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 3 จะส่งมอบโฉนดที่ดินและที่ดินพร้อมทั้งตึกแถวพิพาทแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ให้การว่า เมื่อวันที่ 17 มีนาคม2523 โจทก์ได้มอบอำนาจให้นายยงยุทธ นันทกุล บุตรของโจทก์ทำนิติกรรมโอนขายที่ดินและตึกแถวพิพาท จำเลยทั้งสองมิได้ทำละเมิดต่อโจทก์ เจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ได้ตรวจสอบลายมือชื่อโจทก์ในหนังสือมอบอำนาจเปรียบเทียบกับในหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินซึ่งโจทก์เคยลงลายมือชื่อเป็นผู้ซื้อแล้ว และได้ตรวจดูบัตรประจำตัวประชาชนของโจทก์ถูกต้องตรงกันแล้ว เจ้าหน้าที่ของจำเลยที่1 จึงได้ทำสัญญาซื้อขายที่ดินและตึกแถวพิพากทให้จำเลยที่ 2 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำสัญญาซื้อขายรายนี้เพราะขณะทำนิติกรรมจำเลยที่ 2 ดำรงตำแหน่งเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี ค่าเสียหายหลังไม่เกินเดือนละ 500 บาท ส่วนค่าเสียหายก่อนฟ้องรวมทั้งสิ้นไม่เกิน14,000 บาท
จำเลยที่ 3 ให้การว่า เมื่อต้นปี 2523 จำเลยที่ 3 ตกลงซื้อขายที่ดินและตึกแถวพิพาทกับนายยงยุทธ นันทกุล ซึ่งเป็นบุตรโจทก์ในราคา235,000 บาท และในวันที่ 13 มีนาคม 2523 โจทก์ได้มอบอำนาจให้นายยงยุทธไปจดทะเบียนโอนขายที่ดินและตึกแถวพิพาทให้แก่จำเลยที่ 3 แต่เจ้าพนักงานที่ดินไม่ยอมจดทะเบียนให้ เพราะหนังสือมอบอำนาจของโจทก์มีการตกเติมไม่เรียบร้อย ในวันที่ 17 มีนาคม 2523ถึงวันนัด นายยงยุทธได้นำหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ลงวันที่14 มีนาคม 2523 พร้อมด้วยโฉนดที่ดินมายื่นคำขอจดทะเบียนโฮนขายที่ดินและตึกแถวพิพาทให้แก่จำเลยที่ 3 เจ้าพนักงานที่ดินได้ตรวจสอบลายมือชื่อโจทก์แล้ว เห็นว่าถูกต้องจึงได้จดทะเบียนให้ และจำเลยที่ 3 ได้ขำระราคา 235,000 บาท ให้แก่นายยงยุทธแล้ว ค่าเสียหายไม่เกินเดือนละ 1,000 บาท
ศาลชั้นต้นเรียกนายยงยุทธ นันทกุล เข้ามาเป็นจำเลยร่วมตามคำขอของจำเลยที่ 3
จำเลยร่วมขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการขายที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 18347 ตำบลวัดท่าพระ (เกาะท่าพระ) อำเภอบางกอกใหญ่กรุงเทพมหานคร พร้อมตึกแถวสองชั้นครึ่ง เลขที่ 117/234 ซึ่งปลูกสร้างในที่ดินระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 3 เมื่อวันที่17 มีนาคม 2523 ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 เสีย โดยให้จำเลยที่ 1 ดำเนินการจดทะเบียนเพิกถอนโอนกลับเป็นชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ตามเดิม หากการจดทะเบียนเพิกถอนไม่สามารถกระทำได้ด้วยประการใด ๆ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของผู้ที่ต้องแสดงเจตนาเกี่ยวกับการจดทะเบียนเพิกถอนนั้น ให้จำเลยที่ 3 ส่งมอบโฉนดที่ดินพร้อมที่ดินและตึกแถวพิพาทคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยและให้จำเลยร่วมใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 1,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย คำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยกเสีย
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่าลายมือชื่อผู้มอบำนาจในหนังสือมอบอำนาจลงวันที่ 14 มีนาคม 2523เอกสารหมายเลข จ. 1 เป็นลายมือชื่ออันแท้จริงของโจทก์ ฉะนั้นการที่จำเลยร่วมซึ่งเป็นผู้รับมอบอำนาจตามหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวจดทะเบียนโอนขายที่ดินและตึกแถวพิพาทให้แก่จำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 ผู้รับโอนจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและตึกแถวพิพาทนั้น…พยานหลักฐษน โจทก์มีน้ำหนักยิ่งกว่าพยานหลักฐานจำเลยที่ 3 จึงฟังได้ว่า ลายมือชื่อผู้มอบอำนาจในหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ. 1มิใช่ลายมือชื่ออันแท้จริงของโจทก์ ฉะนั้นการที่จำเลยร่วมซึ่งเป็นผู้รับมอบอำนาจตามหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวโอนขายที่ดินและตึกแถวพิพาทให้แก่จำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 ผู้รับโอนจึงมิได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและตึกแถวพิพาท และการที่จำเลยร่วมโอนขายที่ดินและตึกแถวพิพาทซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 3 ไป ก็จะถือว่าได้มีการโอนกันตามประมวลกฎหมรยแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 ไม่ได้เพราะจำเลยร่วมผู้โอนไม่ใช่เจ้าของ จำเลยที่ 3 จึงยกเอาเหตุที่ได้รับโอนโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตขึ้นต่อสู้โจทก์ผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริงหาได้ไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์มีสิทธิติดตามเอาที่ดินและตึกแถวพิพาทของโจทก์คืนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 …”
พิพากษายืน