แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
กรมสหกรณ์พาณิชย์โจทก์ โดยได้รับอนุมัติจากกระทรวงสหกรณ์จัดตั้งหน่วยราชการขึ้นเรียกว่า “ขายพืชผลและผลิตผลกลาง” โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะช่วยเหลืออำนวยความสะดวกในการรับซื้อพืชผลและผลิตผลจากสหกรณ์ขายพืชผลในต่างจังหวัด และจัดการขาย ณ ตลาดภายในหรือภายนอกประเทศเพื่อให้ได้ราคาดี ถือได้ว่าเป็นการส่งเสริมการสหกรณ์อย่างหนึ่ง ซึ่งอยู่ภายในขอบวัตถุประสงค์ของกรมสหกรณ์พาณิชย์ และการดำเนินการดังกล่าวนี้ก็มิได้หวังผลกำไรในทางการค้า เมื่อขายพืชผลหรือผลิตผลได้เงินมาก็หักไว้เป็นค่าบริการสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายของหน่วยราชการ “ขายพืชผลและผลิตผลกลาง” แต่เพียงเล็กน้อยเงินที่ขายได้นอกนั้นส่งคืนให้สหกรณ์ที่ส่งพืชผลและผลิตผลมา ดังนี้ ไม่อาจถือได้ว่ากรมสหกรณ์พาณิชย์ทำการค้าหรือเป็นตัวแทนในการค้า อันไม่ใช่วัตถุประสงค์ของกรมนี้
เมื่อปรากฏว่าเงินของหน่วยราชการที่จำเลยเป็นผู้จัดการอยู่ขาดบัญชีไปกรมซึ่งเป็นโจทก์ตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบสวน ปรากฏว่าจำเลยมีพฤติการณ์ส่อไปในทางทุจริตโจทก์ได้แจ้งความให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีอาญาแก่จำเลย และกรมโจทก์ฟ้องเป็นคดีแพ่งขอให้จำเลยชดใช้เงินโดยบรรยายฟ้องยืนยันด้วยว่าจำเลยเป็นพนักงานทุจริตเบียดบังยักยอกเอาเงินของโจทก์ไป ดังนี้ แม้จำเลยจะยังมิได้ถูกฟ้องคดีอาญา แต่ฟ้องของโจทก์ก็เนื่องจากความผิดทางอาญา ต้องนำอายุความฟ้องคดีอาญามาใช้บังคับมิใช่ถือเอาอายุความ 1 ปี ฐานละเมิด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นทบวงการเมืองและเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายสังกัดกระทรวงสหกรณ์ มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการจัดควบคุมและส่งเสริมการสหกรณ์ได้รับอนุมัติจากกระทรวงสหกรณ์ให้จัดตั้ง “ขายพืชผลและผลิตผลกลาง” ขึ้น โดยให้เป็นกิจการราชการอยู่ในความควบคุมของกองสหกรณ์ขายพืชผลและผลิตผล สังกัดกรมสหกรณ์มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแหล่งกลางช่วยเหลือการจำหน่ายพืชผลและผลิตผลของสหกรณ์ท้องถิ่นให้ได้ราคาดี รวมทั้งอำนวยความสะดวกในเรื่องตลาดเพื่อเป็นการทดลองดำเนินงานในอันที่จะจัดตั้งสหกรณ์ชั้นสูง และเป็นการส่งเสริมการสหกรณ์ต่อไป โดยได้ใช้ทุนส่งเสริมการสหกรณ์อันเป็นงบประมาณแผ่นดินเป็นทุนดำเนินงาน และข้าราชการในกองสหกรณ์ขายพืชผลและผลิตผลกรมสหกรณ์พาณิชย์เป็นเจ้าหน้าที่ดำเนินงาน จำเลยที่ ๑ ในระหว่างเป็นหัวหน้าแผนกสหกรณ์ขายพืชผลและผลิตผล ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการ “ขายพืชผลและผลิตผลกลาง” จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ เคยดำรงตำแหน่งหัวหน้ากองสหกรณ์ขายพืชผลและผลิตผลเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนั้น จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ มีหน้าที่เป็นผู้บังคับบัญชาควบคุมกิจการ “ขายพืชผลและผลิตผลกลาง” ในขณะที่จำเลยที่ ๑ มีหน้าที่ดังกล่าวปรากฏว่ามีเงินของ “ขายพืชผลและผลิตผลกลาง” ขาดบัญชีไปเป็นจำนวนมากกระทรวงสหกรณ์ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนแล้ว ปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานและมีหน้าที่ดังกล่าวได้บังอาจทุจริตต่อหน้าที่เบียดบังยักยอกเอาเงินของโจทก์ไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว โดยจำเลยที่ ๑ จงใจทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมาย ทำให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของโจทก์ จำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดชดใช้ให้โจทก์ และกระทรวงสหกรณ์ได้ไล่ออกจากราชการไปแล้ว พร้อมกับแจ้งให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีอาญากับจำเลยที่ ๑ ฐานทุจริตต่อหน้าที่ยักยอกทรัพย์ จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ได้ประมาทเลินเล่อ ละเลยต่อระเบียบปฏิบัติงานและหน้าที่เป็นเหตุให้จำเลยที่ ๑ กระทำทุจริตได้ ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า ไม่เคยมีเจตนากระทำการทุจริตเบียดบังยักยอกตามฟ้อง ค่าเสียหายตามรายการในฟ้องนั้นโจทก์ทราบดีมาเป็นเวลาเกินกว่า ๑ ปีแล้ว คดีขาดอายุความ
จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ให้การปฏิเสธความรับผิด โดยจำเลยที่ ๒ ต่อสู้ด้วยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะไม่มีหน้าที่เกี่ยวแก่การค้าแสวงหากำไร ดังนั้น “ขายพืชผลและผลิตผลกลาง” จึงอยู่นอกอำนาจหน้าที่โจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑, ๓, ๔ ร่วมกันใช้เงินแก่โจทก์ ยกฟ้องจำเลยที่ ๒
จำเลยที่ ๑, ๓, ๔ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑, ๓, ๔ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะกรมโจทก์มีวัตถุประสงค์ควบคุมส่งเสริมกิจการของสมาคมสหกรณ์ เพื่อให้ดำเนินการไปตามวัตถุประสงค์ของสหกรณ์นั้น ๆ ไม่มีวัตถุประสงค์ในการทำการค้าหรือเป็นตัวแทนในการค้า และเงินที่ขายพืชผลและผลิตผลเป็นเงินของสหกรณ์ต่าง ๆ มิใช่ของโจทก์นั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่า กรมสหกรณ์พาณิชย์โจทก์ โดยอนุมัติของกระทรวงสหกรณ์ได้จัดตั้ง “ขายพืชผลและผลิตผลกลาง” ขึ้นเป็นหน่วยราชการของโจทก์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินธุรกิจเพื่อช่วยเหลือบรรดาสมาคมสหกรณ์ขายพืชผลและผลิตผลในด้านตลาดปลายทางเพื่อรับจัดบริการให้แก่บรรดาสมาคมสหกรณ์ตามความต้องการในด้านจำหน่ายและติดต่อการค้ากับต่างประเทศแทนหน่วยสหกรณ์ต่าง ๆ เป็นการประสานงานของสมาคมสหกรณ์การขายให้ได้ผลเพื่อจะได้จัดตั้งเป็นสมาคมสหกรณ์ขายพืชผลและผลิตผลกลางต่อไป โดยกรมโจทก์ได้ยืมเงินจากกระทรวงสหกรณ์เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียน ๔๐๐,๐๐๐ บาท ทดรองให้แก่สมาคมสหกรณ์ต่าง ๆ เมื่อได้รับพืชผลและผลิตผลมาถึงปลายทาง จึงเห็นว่าหน่วยราชการ “ขายพืชผลและผลิตผลกลาง” หาได้มีวัตถุประสงค์ในการทำการค้าหรือเป็นตัวแทนการค้าโดยตรงไม่ เพราะจัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ช่วยเหลืออำนวยความสะดวกในการรับซื้อพืชผลและผลิตผลจากสหกรณ์ขายพืชผลในต่างจังหวัดและจัดการขาย ณ ตลาดภายในหรือภายนอกประเทศเพื่อให้ได้ราคาดี ฉะนั้น จึงถือได้ว่าเป็นการส่งเสริมการสหกรณ์อย่างหนึ่ง ซึ่งอยู่ภายในขอบวัตถุประสงค์ของกรมสหกรณ์พาณิชย์โจทก์ ทั้งโจทก์มิได้หวังผลกำไรในทางการค้าแต่ประการใด เมื่อขายพืชผลและผลิตผลได้เงินก็หักไว้เป็นค่าบริการสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายของ “ขายพืชผลและผลิตผลกลาง” แต่เพียงเล็กน้อยนอกนั้นส่งคืนให้สหกรณ์ที่ส่งพืชผลและผลิตผลมา หากยังมิได้ส่ง ก็ยังคงเป็นเงินของ “ขายพืชผลและผลิตผลกลาง” อันเป็นหน่วยราชการของโจทก์ แม้จะปรากฏว่าหลังจากเงินตามฟ้องซึ่งเป็นเงินทุนหมุนเวียนที่ยืมจากกระทรวงสหกรณ์ขาดหายไป และต่อมากรมโจทก์ได้ชดใช้เงินทุนหมุนเวียนที่ยืมมาให้กระทรวงสหกรณ์เสร็จสิ้นไปแล้วก็ตาม แต่เงินที่ส่งใช้คืนดังกล่าวเป็นเงินคนละส่วนกับเงินที่ขาดหายไปซึ่งฟ้องกันนี้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
ที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่าคดีโจทก์ขาดอายุความนั้น เห็นว่าโจทก์ทราบว่าจำเลยที่ ๑ มีพฤติการณ์ส่อไปในทางทุจริต โดยคณะกรรมการสอบสวนที่โจทก์แต่งตั้ง โจทก์ได้แจ้งความขอให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยที่ ๑ อีกทั้งเมื่อโจทก์บรรยายฟ้องก็ได้ยืนยันข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าพนักงานทุจริตเบียดบังยักยอกเอาเงินของโจทก์ไปแต่จำเลยที่ ๑ ยังมิได้ถูกฟ้องคดีอาญา ดังนั้น จึงถือได้ว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องเกี่ยวเนื่องกับความผิดทางอาญา กรณีต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๕๑ วรรคต้น จึงต้องใช้อายุความทางอาญามาบังคับ มิใช่อายุความ ๑ ปีฐานละเมิด คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ
เมื่อวินิจฉัยปัญหาอื่นด้วยแล้วพิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๑ และที่ ๔ ด้วย