คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1821-1822/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความผิดฐานทำร้ายร่างกายซึ่งศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยทุกคนสมัครใจวิวาททำร้ายซึ่งกันและกันนั้น แม้จำเลยเพียงบางคนเท่านั้นอุทธรณ์ แต่ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยที่มิได้อุทธรณ์กระทำโดยป้องกันอันเป็นเหตุยกเว้นความผิด ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจวินิจฉัยไปถึงจำเลยที่มิได้อุทธรณ์นั้น แล้วยกฟ้องโจทก์เฉพาะตัวจำเลยที่มิได้อุทธรณ์นั้นได้ โดยอาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 ไม่ใช่เหตุลักษณะคดีตามมาตรา 213
จำเลยผู้ร่วมกระทำผิดย่อมไม่อยู่ในฐานะผู้เสียหายย่อมไม่มีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยอื่น

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน คดีแรก โจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ในคดีหลัง ฟ้องจำเลยที่ 1 ในคดีหลังหาว่าร่วมกับพวกทำร้ายโจทก์จนบางคนได้รับอันตรายถึงสาหัส ส่วนคดีหลังอัยการโจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยที่ 1 ถึง 7 ซึ่งรวมทั้งโจทก์ในคดีแรกทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2512 ที่ตำบลหอรัตนชัย อำเภอและจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 297 (สำหรับสำนวนแรก)และขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 (สำหรับสำนวนหลัง) ประกอบด้วยมาตรา 83

จำเลยต่อสู้ว่าป้องกันทั้งสองสำนวน

ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยทั้งหมดในสำนวนหลังได้กระทำผิดจริงดังฟ้องโดยเชื่อว่าจำเลยที่ 1 ฝ่ายหนึ่ง กับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 อีกฝ่ายหนึ่งทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน จึงพิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1, 2, 5, 6 และ 7 คนละ 2 เดือน ปรับคนละ 300 บาท ส่วนจำเลยที่ 3, 4 อายุไม่เกิน 17 ปี (ขณะกระทำผิด) ลดมาตราส่วนโทษให้คนละกึ่ง คงจำคุกคนละ 1 เดือน ปรับคนละ 150 บาท โทษจำคุกให้รอไว้ทุกคน ส่วนสำนวนแรกศาลฟังว่าโจทก์เป็นผู้ร่วมกระทำผิดด้วย จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมายให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับคดีแรกเสีย

โจทก์คดีแรก ทั้งในฐานะจำเลยในคดีหลัง อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยในคดีแรกทุกคนตามฟ้อง และให้ยกฟ้องโจทก์ที่เกี่ยวกับตนเป็นจำเลยในคดีหลัง

ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า นายวิเชียร กลำพบุตร จำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้อุทธรณ์นั้นได้กระทำการโดยป้องกันพอสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ส่วนโจทก์ที่อุทธรณ์นี้กับพวกเป็นฝ่ายกลุ้มรุมทำร้ายจำเลยที่ 1 ศาลอุทธรณ์ถือว่าการป้องกันเป็นเหตุลักษณะคดีแม้จำเลยจะไม่อุทธรณ์ขึ้นมา ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับนายวิเชียรจำเลยที่ 1 นอกจากที่แก้แล้วยืน

โจทก์ทั้งสามจึงฎีกาต่อมา ศาลสั่งรับเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายที่ทั้งสามคนนั้นเถียงว่า (1) การป้องกันตัวของจำเลยที่ 1 ที่ศาลอุทธรณ์ฟังแล้วยกฟ้องโจทก์ (สำนวนที่ 2) เสียนั้น ไม่ใช่เหตุลักษณะคดี ถ้าฟังว่าเป็นเหตุลักษณะคดี ก็ชอบที่จะยกฟ้องโจทก์สำหรับบุคคลทั้งสามซึ่งเป็นจำเลยร่วมด้วย และ (2) เมื่อไม่ใช่เหตุลักษณะคดีเช่นนั้นแล้ว ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะลงโทษจำเลยที่ 1 ตามศาลชั้นต้น

ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ในสำนวนหลังดังกล่าวเป็นการวินิจฉัยการกระทำส่วนตัวของแต่ละบุคคล โดยอาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 วรรค 2 จึงไม่ใช่เหตุในลักษณะคดี ที่จะยกฟ้องไปถึงโจทก์ทั้งสามในสำนวนแรกซึ่งเป็นจำเลยร่วมกับจำเลยที่ 1 ในคดีหลัง ฎีกาโจทก์ทั้งสามในฐานะที่เป็นจำเลยในคดีอัยการโจทก์จึงฟังไม่ขึ้น

ส่วนฎีกาโจทก์ทั้งสามให้ลงโทษนายวิเชียรจำเลยที่ 1 ในฐานะโจทก์ในสำนวนแรกนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์มิได้เป็นผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องเสียแล้ว โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฎีกา

ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้นทั้งสองประเด็น พิพากษายืน

Share