คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2431/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีคำสั่งบังคับให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำอันไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ เมื่อโจทก์ได้รับเงินดังกล่าวก็ได้ทำบันทึกว่า ไม่ติดใจเรื่องใด ๆ จากจำเลยหรือนำความขึ้นร้องเรียนจำเลยอีก บันทึกนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์เท่านั้นหาเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องเงินประเภทอื่น ๆจากจำเลยตามกฎหมายไม่
ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี กฎหมายบังคับให้นายจ้างจ่ายแก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้าง นายจ้างจึงต้องจ่ายดอกเบี้ยเมื่อเลิกจ้าง ส่วนดอกเบี้ยในเงินค่าจ้างค้างจ่ายนั้น เมื่อไม่ปรากฏว่าลูกจ้างได้ทวงถามเมื่อใด จึงต้องจ่ายนับแต่วันฟ้อง
โจทก์ฟ้องเรียกค่าชดเชยกับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำเลยให้การต่อสู้ไว้ เมื่อศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยยังมิได้วินิจฉัยปัญหานี้ ศาลฎีกามิอาจวินิจฉัยเองได้ ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาดังกล่าว.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นลูกจ้างประจำของจำเลย จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองอ้างเหตุว่า โจทก์ทั้งสองฟ้องคดีจำเลยต่อศาลแรงงานกลาง โจทก์ทั้งสองมีสิทธิได้รับค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างค้างจ่าย และค่าทำงานในวันหยุดแต่จำเลยไม่จ่ายเงินดังกล่าวให้ ขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินดังกล่าวให้โจทก์ทั้งสอง พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับจากวันที่มีสิทธิได้รับ
จำเลยให้การว่า โจทก์ทั้งสองเคยเป็นลูกจ้างประจำประเภทรายวันของจำเลย แต่มิใช่ลูกจ้างประจำ โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิเรียกเงินประเภทต่าง ๆ ตามคำฟ้อง และดอกเบี้ย เพราะคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ได้มีคำสั่งให้จำเลยจ่ายเงินประเภทต่าง ๆ ให้แก่โจทก์ทั้งสองคนละ 13,650 บาท ซึ่งรวมค่าชดเชยด้วย โจทก์ทั้งสองได้รับเงินดังกล่าวไปจากจำเลยแล้วและได้ทำบันทึกเป็นหนังสือว่าไม่ติดใจเรื่องใด ๆ จากจำเลยหรือนำความขึ้นร้องเรียนต่อจำเลยอีก ถือได้ว่าสละสิทธิที่จะเรียกร้องเงินจากจำเลยอีก โจทก์ทั้งสองเป็นเพียงลูกจ้างรายวัน จำเลยมีสิทธิบอกกล่าวล่วงหน้าให้โจทก์ทั้งสองออกหรือเลิกจ้างก่อน 1 วัน โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ข้อความในเอกสารระบุไว้ชัดแจ้งว่า โจทก์ได้รับเงินจากจำเลยไปแล้ว โจทก์จะไม่ติดใจเรื่องใด ๆ หรือนำความขึ้นร้องเรียนต่อจำเลยอีก นั้น เป็นถ้อยคำที่บ่งบอกถึงว่าโจทก์ไม่ติดใจเรียกเงินใด ๆ ที่โจทก์จะพึงมีสิทธิเรียกจากจำเลยเนื่องจากการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมอีก ถือได้ว่าโจทก์จำเลยได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันแล้ว สิทธิของโจทก์ในการเรียกร้องเงินจากจำเลยจึงระงับไปแล้ว พิพากษายกฟ้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า เอกสารหมาย ล.3 เป็นบันทึกที่โจทก์ทั้งสองทำให้จำเลยไว้ในเรื่องที่จำเลยถูกคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีคำสั่งบังคับให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำอันไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ทั้งสองตามมาตรา 121 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2528 หาใช่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์ทั้งสองไม่ติดใจเรียกร้องเงินประเภทอื่น ๆ ที่โจทก์ทั้งสองมีสิทธิเรียกร้องจากจำเลยตามกฎหมายไม่ จึงต้องพิจารณาต่อไปว่าโจทก์ทั้งสองมีสิทธิได้รับเงินต่าง ๆตามฟ้องหรือไม่ ข้อพิจารณานี้ ในส่วนที่เป็นค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีและค่าจ้างค้างจ่าย จำเลยมิได้ให้การต่อสู้จึงฟังเป็นยุติตามคำฟ้องของโจทก์ได้ ส่วนดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งที่โจทก์ทั้งสองเรียกร้องมานั้น สำหรับค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี กฎหมายบังคับให้นายจ้างจ่ายแก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้าง จึงให้จำเลยจ่ายดอกเบี้ยสำหรับค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีแก่โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 ตั้งแต่วันที่เลิกจ้าง ส่วนดอกเบี้ยในค่าจ้างค้างจ่ายไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยชำระแต่วันใด จึงให้จำเลยจ่ายดอกเบี้ยในเงินประเภทนี้แก่โจทก์ทั้งสองนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป
คงมีปัญหาเรื่องค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเท่านั้น ที่โจทก์ทั้งสองฟ้องเรียกร้องมาและจำเลยให้การต่อสู้ว่า โจทก์ทั้งสองมิได้เป็นลูกจ้างประจำ และจำเลยมีสิทธิบอกกล่าวล่วงหน้า 1 วัน ก่อนเลิกจ้างโจทก์ทั้งสอง จึงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปว่าจำเลยต้องจ่ายเงินทั้งสองประเภทดังกล่าวแก่โจทก์ทั้งสองหรือไม่เพียงใด ซึ่งในปัญหานี้ศาลแรงงานกลางยังมิได้วินิจฉัยศาลฎีกาจึงมิอาจวินิจฉัยชี้ขาดเสียเองได้ ชอบที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 และมาตรา 56
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีแก่โจทก์ทั้งสอง พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันเลิกจ้างและให้จำเลยจ่ายค่าจ้างค้างจ่ายแก่โจทก์ทั้งสอง พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป ทั้งนี้จนกว่าจะชำระเสร็จ ให้ยกคำพิพากษาศาลแรงงานกลางในประเด็นค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวเลิกจ้างล่วงหน้า ให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาคดีใหม่เฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวเลิกจ้างล่วงหน้า แล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี.

Share