แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ การที่โจทก์ผู้อุทธรณ์ยื่นคำร้องฉบับหนึ่งว่า ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป จึงขอถอนฟ้องแล้วต่อมาได้ยื่นคำร้องอีกฉบับหนึ่งว่าที่ว่าไม่ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไปจึงขอถอนฟ้องนั้น เกิดจากความบกพร่องและเข้าใจผิด ความจริงโจทก์ไม่มีความประสงค์จะดำเนินคดีนี้ต่อไป จึงขอถอนอุทธรณ์ ไม่ใช่ขอถอนฟ้อง ดังนี้ ต้องถือว่า โจทก์ประสงค์ที่จะถอนอุทธรณ์เท่านั้นไม่เจตนาที่จะขอถอนฟ้องคดีด้วย การที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งจำหน่ายคดีโดยอาศัยเหตุที่โจทก์ขอถอนฟ้อง และขอถอนอุทธรณ์ จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ถูกต้องตามคำร้องขอของโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานหมิ่นประมาท ใส่ความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ฐานหนึ่งและฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 อีกฐานหนึ่ง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วสั่งคดีมีมูลตามฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 จำคุก 3 เดือน และปรับ 500 บาท รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 1 ปี
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137 ด้วย และขอไม่ให้รอการลงโทษจำคุกให้จำเลย
คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ วันที่ 13 ตุลาคม 2513โจทก์ยื่นคำร้องว่า โจทก์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป จึงขอถอนฟ้องศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นสอบถามจำเลยแล้ว จำเลยแถลงไม่คัดค้านต่อมาวันที่ 16 พฤศจิกายน 2513 โจทก์ยื่นคำร้องอีกฉบับหนึ่งว่า ตามที่โจทก์ยื่นคำร้องว่าไม่ประสงค์จะดำเนินคดีนี้ต่อไป จึงขอถอนฟ้องนั้น เกิดจากความบกพร่องและเข้าใจผิด ความจริงโจทก์ไม่มีความประสงค์ จะดำเนินคดีนี้ต่อไป จึงขอถอนอุทธรณ์ไม่ใช่ขอถอนฟ้อง
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องและถอนอุทธรณื คำร้องลงวันที่ 13 ตุลาคม 2513 ถือว่าเป็นคำร้องขอถอนฟ้องในข้อหาหมิ่นประมาทซึ่งเป็นความผิดต่อส่วนตัว โจทก์ขอถอนฟ้องได้ก่อนคดีถึงที่สุด และจำเลยไม่คัดค้านจึงอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 35 วรรค 2 ส่วนคำร้องลงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2513 เป็นคำร้องขอถอนอุทธรณ์ ในข้อหาฐานแจ้งความเท็จอนุญาตให้โจทก์ถอนอุทธรณ์ในข้อหานี้ด้วยจำหน่ายคดี
โจทก์ทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดในคำร้องลงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2513 ว่า โจทก์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีในชั้นศาลอุทธรณ์ ไม่ใช่โจทก์ขอถอนฟ้องในข้อหาหมิ่นประมาทใส่ความหรือให้ลบล้างคำพิพากษาศาลชั้นต้นขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งใหม่ให้เป็นไปตามเจตนาของโจทก์
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137 และขอไม่ให้รอการลงโทษจำเลยสำหรับความผิดฐานหมิ่นประมาทใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 แม้คำร้องของโจทก์ลงวันที่ 13 ตุลาคม 2513 จะมีข้อความว่า โจทก์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีนี้ต่อไปจึงขอถอนฟ้องก็ตาม แต่เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า โจทก์จะถอนฟ้องฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานในชั้นอุทธรณ์ไม่ได้ นอกจากจะถอนอุทธรณ์ และว่าโจทก์ถอนฟ้องอุทธรณ์ความผิดฐานหมิ่นประมาท ใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ได้ แต่ให้สอบถามจำเลยว่าจะคัดค้านหรือไม่ ศาลชั้นต้นได้อ่านคำสั่งศาลอุทธรณ์ดังกล่าว ในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2513 และสอบถามจำเลยในวันนั้นจำเลยแถลงว่าไม่คัดค้าน โจทก์ยื่นคำร้องในวันเดียวกันนั้นว่า ตามที่โจทก์ยื่นคำร้องลงวันที่ 13 ตุลาคม 2513 ว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีนี้ต่อไปจึงขอถอนฟ้องนั้นเกิดจากความบกพร่องและเข้าใจผิด ความจริงโจทก์ไม่มีความประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป จึงขอถอนอุทธรณ์ มิใช่ขอถอนฟ้อง เห็นว่า คำร้องของโจทก์ลงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2513 ชี้ให้เห็นเจตนาชัดแจ้งของโจทก์ในการยื่นคำร้องลงวันที่ 13 ตุลาคม 2513 ว่า โจทก์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีในชั้นอุทธรณ์ในข้อหาฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานและไม่ติดใจจะขอให้ศาลอุทธรณ์แก้ดุลพินิจของศาลชั้นต้นเท่านั้น หาใช่โจทก์ประสงค์จะถอนฟ้องความผิดฐานหมิ่นประมาทใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยไปแล้ว และจำเลยหาได้อุทธรณ์สำหรับความผิดฐานนี้ไม่ ทั้งคำร้องของโจทก์ฉบับลงวันที่ 13 ตุลาคม 2513 และฉบับลงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2513 มิได้มีข้อความว่า โจทก์ประสงค์จะถอนฟ้องความผิดฐานหมิ่นประมาทใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ด้วย ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า คำร้องลงวันที่ 13 ตุลาคม 2513 ถือว่าเป็นคำร้องขอถอนฟ้องในข้อหาหมิ่นประมาท จึงอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องในความผิดฐานหมิ่นประมาทใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สามเสียด้วย จึงยังไม่ถูกต้อง ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษายกคำสั่งศาลอุทธรณ์ และให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งในเรื่องนี้ใหม่