คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1344/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อจำเลยรับซื้อรถยนต์พิพาทจากบุคคลซึ่งฉ้อโกงรถยนต์พิพาทจากโจทก์ จำเลยย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาท เพราะผู้ขายรถยนต์พิพาทไม่มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์นั้น เข้าหลักผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน การที่จำเลยซื้อรถดังกล่าวจากผู้ที่ฉ้อโกงเอามาขายที่ร้านของจำเลยในบริเวณชุมนุมการค้ารถยนต์ไม่ใช่ซื้อจากร้านค้าใดร้านค้าหนึ่งที่อยู่ในชุมนุม การค้ารถยนต์นั้น จึงไม่ใช่เป็นการซื้อในท้องตลาด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1332 ดังนั้น จำเลยจะสุจริตหรือไม่ ก็ไม่เป็นเหตุให้ได้รับความคุ้มครองตามบทกฎหมายดังกล่าว จำเลยจึงต้องคืนรถยนต์พิพาทแก่โจทก์ แต่เมื่อปรากฏว่าจำเลยขายรถยนต์แก่บุคคลภายนอกไปแล้วไม่อาจคืนรถยนต์พิพาทแก่โจทก์ได้ จำเลยจึงต้องใช้ราคารถแก่โจทก์ตามราคาที่โจทก์ซื้อมาพร้อมด้วยค่าเสียหายที่โจทก์ไม่ได้ใช้รถและค่าเสื่อมสภาพรถคันพิพาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์หมายเลขทะเบียน7ค-0733 กรุงเทพมหานคร จำเลยกับนายสมชายหรือจำรัส วงศ์สุชินร่วมกันฉ้อโกงเอารถยนต์ดังกล่าวไปจากโจทก์ การที่จำเลยครอบครองรถยนต์ของโจทก์โดยอ้างว่าซื้อจากนายสมชายซึ่งไม่ใช่เจ้าของย่อมไม่อาจใช้ยันโจทก์ได้ และทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยส่งมอบรถยนต์ดังกล่าวและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์แก่โจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ใช้ราคารถยนต์ 120,000 บาท และให้จำเลยใช้ค่าขาดประโยชน์ที่ไม่สามารถใช้รถยนต์และค่าเสื่อมสภาพรถยนต์นับแต่วันที่ 11 มีนาคม 2529 ถึงวันฟ้องเป็นเวลา 2 เดือน 28 วัน เป็นเงิน23,466 บาท และต่อไปเดือนละ 8,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์แก่โจทก์และชำระค่าธรรมเนียมในการโอนรถยนต์
จำเลยให้การว่า จำเลยประกอบธุรกิจซื้อขายแลกเปลี่ยนรถยนต์ใช้แล้วที่ตลาดนัดเสนา ที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยกับนายสมชายฉ้อโกงโจทก์เป็นความเท็จ โจทก์กับพวกรวม 2 คน นำรถยนต์พิพาทมาเสนอขายแก่จำเลย ณ สถานที่ประกอบการค้าของจำเลยในราคา 100,000 บาท จำเลยเชื่อโดยสุจริตว่าโจทก์กับพวกมีสิทธิในรถยนต์โดยชอบ จำเลยได้รถยนต์มาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนมิได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อโดยผิดกฎหมาย จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์และจำเลยได้ขายรถยนต์ดังกล่าวในตลาดนัดรถยนต์ตามทางการค้าของจำเลยให้แก่บุคคลอื่นไปแล้ว โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 120,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 11 มีนาคม 2529เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่ารถยนต์พิพาทคือรถยนต์แลนเซอร์ หมายเลขทะเบียน 7ค-0733กรุงเทพมหานคร เดิมเป็นของบริษัทนอร์ตัน (ประเทศไทย) จำกัดต่อมาวันที่ 13 มีนาคม 2529 บริษัทดังกล่าวได้ขายแก่นายนาวินเตียวรัตนกุล ในราคา 110,000 บาท แต่ไม่ได้โอนใส่ชื่อผู้ซื้อในคู่มือการจดทะเบียนรถ เพียงแต่ได้มอบเอกสารชุดโอนลอยให้ไว้ตามแบบพิมพ์คำแจ้งความเรื่องขอโอนและขอรับโอนทะเบียนรถยนต์ของกรมตำรวจ ครั้นต้นเดือนมีนาคม 2529 โจทก์ซื้อรถยนต์พิพาทจากนายนาวิน ในราคา 120,000 บาท และรับคู่มือการจดทะเบียนรถพร้อมเอกสารชุดโอนลอยมาด้วย
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ในชั้นนี้มีว่า โจทก์มีสิทธิเรียกรถยนต์พิพาท และค่าเสียหายจากจำเลยหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความตามคำพิพากษาของศาลแขวงพระนครเหนือ คดีหมายเลขแดงที่ 10229/2529ระหว่าง พนักงานอัยการกรมอัยการ โจทก์ นายจำรัสหรือสมชายธรรมยศ กับพวก จำเลย ซึ่งโจทก์ฟ้องนายสมชายหรือจำรัสกับนายดินหรืออดิศรว่าร่วมกันกับพวกฉ้อโกงรถยนต์พิพาทของโจทก์นายสมชายหรือจำรัสกับนายดินหรืออดิศรให้การรับสารภาพว่าได้ร่วมกันทุจริตหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่าจะจัดการขายรถให้โจทก์ จนโจทก์หลงเชื่อ ยอมมอบรถยนต์พิพาทให้ไปพร้อมทะเบียนรถและเอกสารชุดโอนศาลแขวงพระนครเหนือพิพากษาลงโทษจำคุกนายสมชายหรือจำรัสกับนายดินหรืออดิศร คนละ1 ปี 6 เดือน เช่นนี้ แสดงว่าโจทก์มิได้ร่วมกับนายสมชายหรือจำรัสและนายดินหรืออดิศรขายรถยนต์พิพาทแก่จำเลยจริงแต่เป็นเรื่องนายสมชายหรือจำรัสกับนายดินหรืออดิศรฉ้อโกงเอารถยนต์พิพาทจากโจทก์ไปขายแก่จำเลย เมื่อจำเลยรับซื้อเอารถยนต์พิพาทจากบุคคลดังกล่าวซึ่งฉ้อโกงรถยนต์พิพาท จำเลยจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาท เพราะผู้ขายรถยนต์พิพาทไม่มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์นั้น เข้าหลักที่ว่าผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน สำหรับข้อที่จำเลยแก้ฎีกาว่าซื้อรถยนต์พิพาทมาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนโดยซื้อบริเวณตลาดนัดรถยนต์ จึงไม่ต้องคืนรถยนต์แก่โจทก์พิเคราะห์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1332 ซึ่งบัญญัติไว้ชัดว่า “บุคคลผู้ซื้อทรัพย์มาโดยสุจริต ในท้องตลาด ไม่จำต้องคืนแก่เจ้าของแท้จริง เว้นแต่เจ้าของจะชดใช้ราคาที่ซื้อมา” เห็นว่าการที่จำเลยซื้อรถจากนายสมชายหรือจำรัสกับนายดินหรืออดิศรที่ฉ้อโกงเอารถยนต์พิพาทของโจทก์มาขายที่ร้านค้าของจำเลยในบริเวณชุมนุมการค้ารถยนต์ไม่ใช่ซื้อจากร้านค้าใดร้านค้าหนึ่งที่อยู่ในชุมนุมการค้ารถยนต์นั้น จึงไม่ใช่เป็นการซื้อในท้องตลาดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1332 ดังนั้น จำเลยจะสุจริตหรือไม่ ก็ไม่เป็นเหตุให้ได้รับความคุ้มครองตามบทกฎหมายดังกล่าวจำเลยจึงต้องคืนรถยนต์พิพาทแก่โจทก์ แต่เมื่อปรากฏว่าจำเลยขายรถยนต์แก่บุคคลภายนอกไปแล้ว ไม่อาจคืนรถยนต์พิพาทแก่โจทก์ได้จำเลยจึงต้องใช้ราคารถแก่โจทก์ 120,000 บาท ตามราคาที่โจทก์ซื้อมาพร้อมด้วยค่าเสียหายที่โจทก์ไม่ได้ใช้รถ และค่าเสื่อมสภาพรถคันพิพาทซึ่งศาลชั้นต้นได้กำหนดให้คิดเป็นดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 11 มีนาคม 2529 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยซื้อรถยนต์พิพาทไป จนกว่าจะชำระเสร็จนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าชอบแล้ว
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share