คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3308/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การพิจารณาถึงราคาอันแท้จริงในท้องตลาดของสินค้าชนิดใด จะต้องนำราคาขายส่งเงินสดของสินค้าอย่างเดียวกันมาเป็นเครื่องเปรียบเทียบการหาราคาอันแท้จริงในท้องตลาดของบุ๊ช ซึ่งเป็นอะไหล่รถยนต์เทียมที่อาจใช้ทดแทนอะไหล่แท้ได้ แต่คุณภาพแตกต่างกัน ซึ่งโจทก์นำเข้ามาในราชอาณาจักร จึงต้องนำราคาขายส่งเงินสดของบุ๊ช ซึ่งเป็นอะไหล่รถยนต์เทียมอย่างเดียวกันที่มีผู้อื่นนำเข้ามาเป็นเครื่องเปรียบเทียบ การที่จำเลยหาราคาอันแท้จริงในท้องตลาดโดยการนำเอาราคาขายส่งของบุ๊ช ซึ่งเป็นอะไหล่แท้มาเป็นเกณฑ์เปรียบเทียบแทนโดยลดราคาลงร้อยละ 20 ตามระเบียบปฏิบัติของจำเลยในการประเมินราคาอะไหล่รถยนต์ จึงไม่ชอบด้วยเหตุผลและไม่สอดคล้องกับคำจำกัดความของคำว่า ราคาอันแท้จริงในท้องตลาด ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 2.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์นำเข้าบูชยี่ห้อ โอริฮาชิ ซึ่งเป็นอะไหล่รถยนต์ที่อาจใช้ทดแทนอะไหล่แท้ เจ้าพนักงานของจำเลยที่ ๑ แจ้งว่าโจทก์สำแดงราคาสินค้าดังกล่าวไว้ต่ำไป จึงให้โจทก์วางเงินเพิ่มเติมเป็นประกันต่ออากร ภาษีการค้า ภาษีบำรุงเทศบาล รวม๒๙๗,๐๔๒.๗๒ บาท จำเลยที่ ๑ จึงปล่อยสินค้าให้โจทก์รับไป ต่อมากองการประเมินของจำเลยที่ ๑ ได้คืนเงินประกันค่าภาษีอากรให้โจทก์๔,๒๕๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย ๒๒.๒๖ บาท รวม ๔,๒๗๒.๒๖ บาท แต่ยังไม่ถูกต้อง เพราะจำเลยมิได้คำนวณเรียกเก็บภาษีจากราคาสินค้าอันแท้จริงในท้องตลาดหรือราคาแห่งของที่ซื้อมาจริง กรณีของโจทก์ราคาอันแท้จริงในท้องตลาดคือราคาที่โจทก์ซื้อมาซึ่งเป็นราคาที่ถูกต้องตามชอบด้วยบทกฎหมาย จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ จึงต้องคืนเงินประกันให้โจทก์อีก ๑๒๒,๗๕๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๒๙ ถึงวันฟ้องเป็นเงิน๑๓,๗๔๘.๓๖ บาท รวมเงินที่จำเลยจะต้องคืนให้โจทก์ทั้งสิ้น๑๓๖,๔๙๘.๓๖ บาท ขอให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ร่วมกันชำระเงินจำนวนนั้นพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราที่กล่าวในต้นเงิน ๑๒๒,๗๕๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า การประเมินราคาสินค้าที่โจทก์นำเข้าต้องเป็นไปตามคำสั่งกรมศุลกากรที่ ๒๘/๒๕๒๗ เรื่องระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับการประเมินราคาอะไหล่ยานยนต์ ลงวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๒๗ข้อ ง๓.๒.๓. ข. โดยประเมินราคาเทียบกับอะไหล่แท้ยี่ห้อหรือเครื่องหมายการค้าอีซูซุ ให้ต่างกันได้ไม่เกินร้อยละ ๒๐ ตามใบขนสินค้าของโจทก์ ปรากฏว่าโจทก์สำแดงราคาสินค้า ORIHASHI BUSHเป็นเงิน ๔๔๔,๖๖๐.๑๓ บาท เมื่อคำนวณราคาตามคำสั่งดังกล่าวแล้วปรากฏว่าราคาอันแท้จริงในท้องตลาดของสินค้าดังกล่าวเป็นเงิน๗๙๘,๗๒๐.๒๐ บาท โจทก์สำแดงราคาต่ำไป ๓๕๔,๐๖๐.๐๗ บาท โจทก์จึงต้องเสียภาษีอากรเพิ่มขึ้นและเมื่อหักจากเงินวางเพิ่มเติมเป็นประกันภาษีอากรที่โจทก์วางไว้แล้ว จำเลยต้องคืนเงินให้โจทก์เพียง๔,๒๕๐ บาท เท่าที่โจทก์กล่าวในฟ้อง เจ้าพนักงานประเมินได้แจ้งภาษีอากรขาเข้า ภาษีการค้า ภาษีบำรุงเทศบาลให้โจทก์ทราบแล้ว เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๒๙ โจทก์ไม่อุทธรณ์การประเมินตามประมวลรัษฎากรมาตรา ๓๐ โจทก์จึงฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีการค้า และภาษีบำรุงเทศบาลไม่ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่า การประเมินของเจ้าพนักงานไม่ชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาล เพราะมิได้อุทธรณ์การประเมินไว้พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ คืนเงิน ๗๐,๘๑๒ บาทแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๒๙เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ ยกฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ ให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมกำหนดเป็นค่าทนาย๒,๐๐๐ บาท แทนโจทก์ ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ให้เป็นพับ
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร “วินิจฉัยข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันฟังได้ว่า บริษัทโจทก์นำบูชยี่ห้อโอริฮาชิ ซึ่งเป็นอะไหล่รถยนต์ที่ใช้ทดแทนอะไหล่แท้เข้ามาในราชอาณาจักร ในการชำระอากรขาเข้าโจทก์ยื่นใบขนตามเอกสารหมาย ล.๑ สำแดงว่า ราคาสินค้าที่โจทก์นำเข้าคิดเป็นเงิน ๔๔๔,๖๖๐.๑๓ บาท ตรงกับราคาที่ปรากฏในใบกำกับสินค้าตลอดจนหลักฐานการชำระเงินค่าสินค้าที่โจทก์ชำระผ่านธนาคาร เนื่องจากอะไหล่ที่โจทก์นำเข้าจะเป็นอะไหล่เทียมใช้ทดแทนอะไหล่แท้ที่ใช้กับรถยนต์ยี่ห้ออีซูซุ ซึ่งจำเลยที่ ๑มีคำสั่งทั่วไปที่ ๒๘/๒๕๒๗ วางระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับการประเมินราคาอะไหล่ไว้โดยเฉพาะ เจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ จึงเรียกให้โจทก์วางเงินเพิ่มเติมเป็นประกันภาษีอากรไว้ แล้วคำนวณราคาอันแท้จริงในท้องตลาดสำหรับอะไหล่รถยนต์ที่โจทก์นำเข้าโดยนำราคาบูชซึ่งเป็นอะไหล่ที่แท้จริงของรถยนต์อีซูซุ ที่บริษัทตรีเพชรอีซูซุเซลล์ตัวแทนจำหน่ายอะไหล่แท้ยื่นไว้ต่อจำเลยที่ ๑ มาเป็นหลักในการคำนวณว่า ถ้าเป็นอะไหล่แท้จะมีราคาเท่าใด และเมื่อลดให้ร้อยละ ๒๐ราคาที่เหลือถือว่าเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดของบูชที่โจทก์นำเข้า อากรขาเข้าได้คำนวณตามราคานี้ ซึ่งโจทก์ต้องเสียเพิ่มเป็นเงิน ๗๐,๘๑๒ บาท มีปัญหาว่า ราคาที่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ ๑ ใช้ในการคำนวณอากรขาเข้าเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดของบูชที่โจทก์นำเข้าหรือไม่ ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว พระราชบัญญัติศุลกากร พศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๒ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ๙) พ.ศ. ๒๔๘๒ ให้คำจำกัดความคำว่าราคาอันแท้จริงในท้องตลาดหรือราคาแห่งของอย่างใดว่า “หมายความว่าราคาของส่งเงินสด (ในส่วนราคาขาเข้าไม่รวมค่าอากร) ซึ่งจะพึงขายของประเภทและชนิดเดียวกันโดยไม่ขาดทุน ณ เวลาและที่ที่นำของเข้าหรือส่งออกแล้วแต่กรณี โดยไม่มีการหักทอน หรือลดหย่อนราคาแต่อย่างใดตามนี้จะเห็นได้ว่าในการพิจารณาถึงราคาอันแท้จริงในท้องตลาดของสินค้าชนิดใดจะต้องนำราคาขายส่งเงินสดของสินค้าอย่างเดียวกันมาเป็นเครื่องเปรียบเทียบ การหาราคาอันแท้จริงในท้องตลาดของบูชซึ่งเป็นอะไหล่รถยนต์เทียมที่โจทก์นำเข้าตามฟ้อง แทนที่จำเลยจะนำราคาขายส่งเงินสดของบูชซึ่งเป็นอะไหล่รถยนต์เทียมอย่างเดียวกันที่ผู้อื่นนำเข้ามาเป็นเครื่องเปรียบเทียบ ดังวิธีการที่กฎหมายบัญญัติไว้ จำเลยที่ ๑ กลับนำราคาขายส่งบูชซึ่งเป็นอะไหล่รถยนต์แท้ของรถยนต์ยี่ห้ออีซูซุที่ลดราคาลงแล้วร้อยละ ๒๐ ตามเกณฑ์ที่จำเลยที่ ๑ กำหนดไว้ในคำสั่งทั่วไปที่ ๒๘/๒๕๒๗ ซึ่งเป็นระเบียบปฏิบัติของจำเลยที่ ๑ ในการประเมินราคาอะไหล่รถยนต์มาเปรียบเทียบแทน ซึ่งศาลฎีกาเห็นว่า บูชที่นำเข้าในคดีนี้เป็นอะไหล่รถยนต์ซึ่งเพียงแต่อาจใช้ทดแทนอะไหล่แท้ได้เท่านั้น แต่คุณภาพแตกต่างกัน จึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นสินค้าประเภทและชนิดเดียวกับบูชซึ่งเป็นอะไหล่แท้ การที่จำเลยที่ ๑ หาราคาอันแท้จริงในท้องตลาดโดยการนำเอาราคาของบูช ซึ่งเป็นอะไหล่แท้มาเป็นเกณฑ์เปรียบเทียบตามวิธีการดังกล่าว ย่อมไม่ชอบด้วยเหตุผล ทั้งยังไม่สอดคล้องกับคำจำกัดความของคำว่าราคาอันแท้จริงในท้องตลาดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๒ ดังกล่าวด้วย ฉะนั้นราคาขายส่งเงินสดบูชซึ่งเป็นอะไหล่รถยนต์แท้ ที่คำนวณลดราคาลงตามเกณฑ์ที่จำเลยที่ ๑ กำหนดไว้ดังกล่าวแล้วจึงหาใช่ราคาอันแท้จริงในท้องตลาดของบูชซึ่งเป็นอะไหล่รถยนต์เทียมที่โจทก์นำเข้าไม่การประเมินให้โจทก์ชำระอากรขาเข้าโดยวิธีการดังกล่าวจึงเป็นการประเมินที่ไม่ชอบ คำวินิจฉัยของศาลภาษีอากรกลางในปัญหาข้อนี้ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยโดยอาศัยเหตุผลที่ได้กล่าวมากล้ว ฎีกาจำเลยที่ ๑ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share