คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1578/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยโอนขายที่ดินแก่โจทก์ตามที่โจทก์จำเลยตกลงกันไว้ โดยบรรยายฟ้องมีความว่าโจทก์จำเลยตกลงซื้อขายที่ดินกัน จำเลยต้องการเงินไปใช้ก่อน โจทก์จึงมอบเงินให้จำเลยไป 700 บาท อีก 100 บาทจะชำระกันเมื่อทำโอน จำเลยได้ทำสัญญากู้เงินให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นเงิน 800 บาท ต่อมาจำเลยไม่ยอมโอนที่ดินให้แก่โจทก์ โจทก์จึงฟ้องและได้แนบสำเนาสัญญากู้มาท้ายฟ้องด้วยดังนี้ แม้เดิมจะได้มีการตกลงซื้อขายที่ดินหรือไม่ก็ดี แต่ที่กล่าวในฟ้องว่าได้ตกลงทำสัญญากู้กันประกอบด้วยตัวสัญญากู้เอง เห็นได้ว่าไม่ใช่เป็นเรื่องตกลงจะซื้อขายที่ดินกัน ฉะนั้นจึงถือได้ว่า โจทก์ฟ้อง เรื่องซื้อขายที่ดินอ้างสัญญากู้มาเป็นหลักฐาน ซึ่งมีข้อความชัดเจนเป็นเรื่องสัญญากู้เงินไว้ชัดแจ้งแล้วเช่นนี้ โจทก์จะขอให้บังคับจำเลยโอนขายที่ดินโดยอาศัยสัญญากู้หาได้ไม่ เพราะฟ้องกับคำขอท้ายฟ้องขัดกันอยู่ ศาลจะบังคับให้ตามคำขอของโจทก์ไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องมีความว่า เมื่อเดือน 10 ปีกลายนี้ (พ.ศ. 2491) จำเลยที่ 1 ได้บอกขายที่ดินแปลงนี้ให้โจทก์เป็นเงิน 800 บาท นัดว่าเดือน 4 จะขอใบแทนโฉนดและโอนโฉนดให้จำเลยที่ 1 ต้องการเงินไปใช้ก่อน โจทก์ตกลงรับซื้อ และให้เงินจำเลยที่ 1 ไป 700 บาทอีก 100 บาทจะชำระให้เมื่อทำการโอนกัน จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากู้เงินกันให้ยึดถือไว้เป็นเงิน 800 บาท ดังสำเนาท้ายฟ้อง ถึงเดือน 4 โจทก์ไปเตือนจำเลยที่ 1 ขอผัดผ่อน พอถึงเดือน 6 โจทก์ไปเตือนอีกจำเลยที่ 1 กลับว่า ได้ขายที่ดินแก่จำเลยที่ 2, 3 ไปแล้วเป็นเงิน 1,000 บาท จึงขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนนี้ ให้ที่ดินกลับมาเป็นของจำเลยที่ 1 แล้วให้จำเลยที่ 1 โอนขายให้โจทก์ในราคา 800 บาท

จำเลยต่อสู้ว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยตกลงขายที่ดินให้แก่โจทก์เป็นแต่จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ไปและได้ทำสัญญากู้ให้โจทก์ไว้ตามสำเนาท้ายฟ้อง การซื้อขายระหว่างจำเลยที่ 1, 2, 3 เป็นไปโดยสุจริต

ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์มีแต่สัญญากู้ จะนำสืบเปลี่ยนแปลงเป็นสัญญาจะซื้อขายไม่ชอบ ต้องห้าม จึงพิพากษายกฟ้อง

ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาพิพากษาใหม่

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาได้พิจารณาคำฟ้องประกอบเอกสารสัญญากู้เงินท้ายฟ้องแล้วเห็นว่า แม้เดิมจะได้มีการตกลงจะซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 ดังโจทก์กล่าวในคำฟ้องหรือไม่ก็ดี แต่การที่โจทก์กล่าวในคำฟ้องว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงทำสัญญากู้กันประกอบกับตัวสัญญากู้เอง เห็นได้ว่าไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะตกลงซื้อขายที่ดินให้แก่กัน เงินที่ให้กันมีเพียง 700 บาท แต่ในหนังสือสัญญากลับปรากฏว่า กู้กัน 800 บาท และยิ่งกว่านั้น จำเลยที่ 1 ได้ให้โจทก์ยึดถือที่ดินที่มีโฉนดแล้วไว้เป็นประกันเงินกู้อีกด้วย โจทก์ฟ้องเรื่องซื้อขายที่ดินอ้างสัญญากู้มาเป็นหลักฐาน ซึ่งมีข้อความชัดเจนเป็นเรื่องสัญญากู้เงินชัดแจ้งเช่นนี้ โจทก์จะฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 โอนขายที่ดิน โดยอาศัยสัญญากู้หาได้ไม่ เพราะฟ้องกับคำขอท้ายฟ้องขัดกันอยู่ ศาลจะบังคับให้ตามคำขอของโจทก์ไม่ได้

จึงพิพากษากลับศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share