คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 620/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เงินค่าก่อสร้างที่จำเลยลูกหนี้ตามคำพิพากษามีสิทธิเบิกตามงวดจากกรมทางหลวงแผ่นดิน เป็นเพียงสิทธิเรียกร้องที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาชอบที่จะขอให้อายัดไว้ ฉะนั้น เจ้าหนี้ผู้ขอเฉลี่ยทรัพย์ต้องยื่นคำขอภายในบังคับตามมาตรา 290 วรรคสี่ มิใช่กรณียึดเงินซึ่งเจ้าหนี้จะอ้างว่ายังอยู่ภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 290 วรรคห้า โดยนับแต่วันที่กรมทางหลวงส่งเงินมาให้กองบังคับคดีแพ่งดังที่อ้าง

ย่อยาว

คดีนี้ สืบเนื่องมาจากศาลแพ่งพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงินตามเช็คให้โจทก์เป็นเงิน 70,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย ครบกำหนดเวลาตามคำบังคับ จำเลยไม่ใช้ โจทก์ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดียึดอายัดทรัพย์สินของจำเลยลูกหนี้ตามคำพิพากษา ต่อมาโจทก์แถลงต่อกองบังคับคดีแพ่งว่า จำเลยที่ 2 มีสิทธิได้รับเงินค่าสร้างสะพานในจังหวัดภาคใต้จากกรมทางหลวงเป็นเงินประมาณสามแสนบาท ขอให้กองบังคับคดีแพ่งอายัดไว้ จำนวน 77,223.86 บาท กองบังคับคดีแพ่งมีหนังสืออายัดไปยังกรมทางหลวง กรมทางหลวงได้รับหนังสืออายัดเงินดังกล่าวเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2512 ต่อมาวันที่ 3 มีนาคม 2513หัวหน้ากองบังคับคดีแพ่งได้มีหนังสือแจ้งให้ศาลแพ่งทราบว่ากรมทางหลวงได้นำเงินของจำเลยที่ 2 ตามจำนวนที่อายัดส่งต่อกองบังคับคดีแพ่งแล้ว

วันที่ 6 มีนาคม 2513 ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่ 2 ตามคดีของศาลแพ่งหมายเลขแดงที่ 1195/2513 จำนวน 217,500 บาทและหมายเลขแดงที่ 1211/2513จำนวน 311,250 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าต่อปี และร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามลำดับ จนกว่าจะชำระเสร็จ ครบกำหนดเวลาตามคำบังคับจำเลยไม่ชำระ และไม่มีทรัพย์สินอย่างใดที่ผู้ร้องจะยึดได้ จึงขอเฉลี่ยเงินที่โจทก์อายัดไว้

โจทก์คัดค้านว่า หนี้ระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 เกิดขึ้นโดยทุจริตเพราะสมยอมกัน และจำเลยที่ 2 ยังมีงานต่อเนื่องกับกรมทางฯซึ่งจะขอรับเงินได้ต่อไปอีกผู้ร้องชอบที่จะอายัดเงินงวดต่อ ๆ ไปได้และผู้ร้องมิได้ขอเฉลี่ยภายในสามเดือนนับแต่วันอายัด จึงไม่มีสิทธิขอเฉลี่ย ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้อง

วันนัดพร้อมโจทก์และผู้ร้องรับกันว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีกองบังคับคดีแพ่งมีหนังสืออายัดไปยังกรมทางฯ เมื่อวันที่ 22 กันยายน2512 และกรมทางฯ ได้ส่งเงินตามหนังสืออายัดของเจ้าพนักงานกองบังคับคดีแพ่งมายังกองบังคับคดีแพ่งเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์2513 โจทก์และผู้ร้องรับกันอีกว่าคดีแพ่งแดงที่ 1195/2513 และ1211/2513 นั้น ผู้ร้องฟ้องคดีที่ศาลแพ่งเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2513และได้ทำยอมกันที่ศาลแพ่งเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2513 จริงตามภาพถ่ายสัญญาประนีประนอมยอมความ และคำพิพากษาตามยอมที่ผู้ร้องยื่นมาพร้อมคำร้องขอเฉลี่ย แล้วคู่ความขอให้ศาลวินิจฉัยตามข้อเท็จจริงที่รับกันโดยไม่สืบพยานบุคคล

ศาลแพ่งมีคำสั่งว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีได้มีหนังสืออายัดเงินไปยังกรมทางหลวง เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2512 ผู้ร้องมาขอเฉลี่ยเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2513 หลังจากเจ้าพนักงานบังคับคดีกองบังคับคดีแพ่งมีหนังสืออายัดไปกว่าสามเดือนแล้ว ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอเฉลี่ยหนี้ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 วรรค 4ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง โดยไม่จำต้องวินิจฉัยถึงเรื่องที่โจทก์คัดค้านว่าผู้ร้องทำยอมโดยทุจริตและสมยอมกัน

ผู้ร้องอุทธรณ์ว่า ผู้ร้องมีสิทธิขอเฉลี่ยทรัพย์ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 วรรค 5

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ผู้ร้องฎีกาว่า เมื่อกรมทางหลวงส่งเงินมาให้กองบังคับคดีแพ่งตามที่โจทก์ขออายัด เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2513 จำเลยทำงานเสร็จตามงวดแล้ว มีสิทธิรับเงินจำนวนนั้น ถือว่าเป็นการยึดเงิน ผู้ร้องจึงมีสิทธิขอเฉลี่ยทรัพย์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 วรรค 5

ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จำเลยที่ 2 จะทำงานเสร็จตามงวด และมีสิทธิรับเงินจำนวนนี้ก็ดี แต่กรมทางหลวงยังมิได้ชำระให้แก่จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 มีแต่เพียงสิทธิเรียกร้องในเงินจำนวนนี้เท่านั้น โจทก์จึงยังไม่มีอำนาจที่จะขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดเงินจำนวนนี้แต่ก็มีสิทธิที่จะขอให้อายัดเงินดังกล่าวได้ ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสืออายัดเงินดังกล่าวไปยังกรมทางหลวง และกรมทางหลวงส่งเงินดังกล่าวมายังกองบังคับคดีแพ่งนั้น จึงหาใช่การยึดเงินดังที่ผู้ร้องฎีกามาไม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น

จึงพิพากษายืน ให้ยกฎีกาของผู้ร้อง

Share