แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลังให้ประกอบกิจการเงินทุนเพื่อการพาณิชย์ ซึ่งตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ.2522 มาตรา 4 หมายความว่าเป็นการให้กู้ยืมเงินใน ระยะสั้นเป็นทางค้าปกติ คือให้กู้ยืมเงินมีกำหนดชำระคืนเมื่อทวงถามหรือเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้ไม่เกินหนึ่ง ปีนับแต่วันให้กู้ยืม จะมีหลักทรัพย์เป็นประกันโดยการจำนอง จำนำ หรือค้ำประกันด้วยบุคคลหรือไม่มีหลักประกันดังกล่าวเลยก็ได้ ส่วนกิจการเครดิตฟองซิเอร์นั้นหมายความว่า กิจการให้กู้ยืมเงินโดยวิธีรับจำนองอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าปกติ ไม่จำกัดว่าต้องเป็นการให้กู้ยืมเงินระยะสั้น แต่จำกัดว่าต้องมีหลักทรัพย์เป็นอสังหาริมทรัพย์มาจำนองเป็นประกันเงินกู้เท่านั้น จะเอาอสังหาริมทรัพย์มาจำนำหรือเอาบุคคลเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้นั้นไม่ได้ การที่โจทก์ให้จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินโดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันและยอมรับผิดในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วม และจำเลยที่1 ยังนำที่ดินมาจำนองเป็นประกันเงินกู้อีกด้วย จึง เป็นการประกอบธุรกิจเงินทุนที่โจทก์ได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลังดังกล่าวแล้ว ไม่ตกเป็นโมฆะ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ในการจัดหาเงินทุนและให้กู้ยืมเงินฯ จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงินไปจากโจทก์โดยจำเลยที่ 1 ได้นำที่ดินมีโฉนดพร้อมสิ่งปลูกสร้างมาจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้เงินกู้ จำเลยที่ 2 ได้เข้าทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 ไว้ต่อโจทก์โดยรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ครบกำหนดอายุสัญญาแล้วจำเลยยังไม่ชำระหนี้ โจทก์บอกเลิกสัญญาและบอกกล่าวให้จำเลยที่ 1ไถ่ถอนจำนองกับได้บอกกล่าวให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้แล้วจำเลยก็ไม่ชำระขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ให้โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะการกู้เงินระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองเป็นวิธีการดำเนินธุรกิจเงินทุนหลักทรัพย์ซึ่งโจทก์มิได้กระทำการให้เป็นไปตามกฎหมายที่ได้ควบคุมไว้ แต่เป็นการกระทำนอกเหนือวัตถุประสงค์ของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยตามฟ้องแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดมีวัตถุประสงค์ประกอบธุรกิจเงินทุน โดยได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลังให้ประกอบกิจการตามข้อ 4(7) แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 ประเภทต่อไปนี้(1) กิจการเงินทุนเพื่อการพาณิชย์ (2) กิจการเงินทุนเพื่อการพัฒนา (3) กิจการเงินทุนเพื่อการจำหน่ายและการบริโภค (4) กิจการเงินทุนเพื่อการเคหะ โจทก์ให้จำเลยที่ 1 กู้เงินจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันหนี้โดยยอมรับผิดในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วม และจำเลยที่ 1ยังได้นำที่ดินจำนวน 2 โฉนดมาจำนองประกันหนี้ แล้ววินิจฉัยว่า การกระกอบธุรกิจเงินทุนที่โจทก์ได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลังตามข้อ (1) คือกิจการเงินทุนเพื่อการพาณิชย์ ซึ่งตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. 2522 มาตรา 4 หมายความว่า กิจการจัดหาเงินทุนจากประชาชน และให้กู้ยืมเงินระยะสั้น เป็นทางค้าปกติ ส่วนกิจการเครดิตฟองซิเอร์หมายความว่า กิจการให้กู้ยืมเงินโดยวิธีรับจำนองอสังหาริมทรัพย์เป็นการค้าปกติเห็นว่ากิจการเงินทุนเพื่อการพาณิชย์ตามบทกฎหมายดังกล่าวเป็นการให้กู้ยืมเงินในระยะสั้น คือให้กู้ยืมเงินมีกำหนดชำระคืนเมื่อทวงถามหรือเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้ไม่เกินหนึ่งปีนับแต่วันให้กู้ยืม จะมีหลักทรัพย์เป็นประกันโดยการจำนองจำนำหรือค้ำประกันด้วยบุคคลหรือไม่มีหลักประกันดังกล่าวเลยก็ได้ แต่กิจการเครดิตฟองซิเอร์นั้น ไม่จำกัดว่าต้องเป็นการให้กู้ยืมเงินระยะสั้น แต่จำกัดว่าต้องมีหลักทรัพย์เป็นอสังหาริมทรัพย์มาจำนองเป็นประกันเงินกู้เท่านั้น จะเอาสังหาริมทรัพย์มาจำนำหรือเอาบุคคลเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้นั้นไม่ได้ ดังนั้นการที่โจทก์ให้จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินโดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันและยอมรับผิดในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วมและจำเลยที่ 1 ยังนำที่ดินมาจำนองเป็นประกันเงินกู้จึงเป็นการประกอบธุรกิจเงินทุนที่โจทก์ได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลังดังกล่าวแล้ว ไม่ตกเป็นโมฆะ
พิพากษายืน