คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2283/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ตามสัญญาขายลดเช็คตั๋วสัญญาใช้เงิน สัญญาค้ำประกัน สัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิต และทรัสต์รีชีท เพื่อเป็นการประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2534จำเลยที่ 4 ตกลงเข้าค้ำประกันการชำระหนี้จำนวน 35,000,000บาท โดยยอมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 จนกว่าโจทก์จะได้รับชำระหนี้โดยสิ้นเชิง ตามคำฟ้องแสดงให้เห็นถึงสภาพแห่งข้อหาว่าโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 4 รับผิดตามสัญญาค้ำประกันในหนี้ของจำเลยที่ 1 และขอให้บังคับจำเลยที่ 4 ใช้เงินตามสัญญาค้ำประกันจำนวน 35,000,000 บาท ชัดแจ้งแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม โจทก์มอบอำนาจให้ ก. เป็นผู้ฟ้องร้องคดีแทนโจทก์หนังสือมอบอำนาจดังกล่าวได้ปิดอากรแสตมป์ครบถ้วน ระบุให้มีอำนาจยื่นฟ้องคดีแพ่งได้ทั่วไป แม้จะมิได้ระบุเจาะจงให้ฟ้องจำเลยในคดีนี้ ก็เป็นหนังสือมอบอำนาจที่สมบูรณ์ใช้ฟ้องร้องจำเลยในคดีนี้ได้ จำเลยจดทะเบียนจำนองที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลย โจทก์ชอบที่จะบังคับจำนองได้เฉพาะส่วนของจำเลยเท่านั้น การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้บังคับจำนองที่ดินทั้งหมดเป็นการไม่ชอบ และปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยไม่ได้ยกขึ้นอ้างในฎีกา แต่ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันชำระเงิน148,605,815.52 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปีของต้นเงิน 132,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งเจ็ดไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 2193 ตำบลบางพรม (บางเชือกหนัง)อำเภอตลิ่งชันกรุงเทพมหานคร และที่ดินโฉนดเลขที่ 20387 ถึง20417 ตำบลลาดบัวหลวง อำเภอลาดบัวหลวง (เสนาน้อย) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา รวม 31 โฉนด พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งเจ็ดออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 ให้การว่า หนังสือมอบอำนาจท้ายฟ้องไม่ใช่เป็นเอกสารที่แท้จริง นายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ ไม่ใช่ผู้มอบอำนาจที่ถูกต้องตามกฎหมาย ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะมิได้บรรยายฟ้องให้ชัดเจนว่า จำเลยที่ 4 มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์อย่างไร มูลหนี้เกิดจากหนี้ประเภทใด มีหลักฐานอย่างไรและตั้งแต่เมื่อใด ทำให้จำเลยที่ 4 ไม่เข้าใจสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ จำเลยที่ 4 ไม่เคยทำสัญญาค้ำประกันไว้แก่โจทก์หากจำเลยที่ 4 ต้องรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันก็รับผิดเพียง35,000,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 ให้การว่า จำเลยที่ 5 ถึงที่ 7เป็นทายาทโดยธรรมของนายปรพล ศิลป์พจีการ ก่อนถึงแก่กรรมนายปรพลหามีทรัพย์สินอย่างใดไม่ จำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 ไม่ได้รับทรัพย์มรดกของนายปรพล โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 5ถึงที่ 7 มารดาของจำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 และจำเลยที่ 3 กับนายสิทธิชัย นวลมณี เคยติดต่อขอประนอมหนี้กับโจทก์ โจทก์ตกลงรับเงื่อนไขในการชำระหนี้แล้ว และอยู่ระหว่างดำเนินการชำระหนี้แก่โจทก์ตามข้อตกลง จำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 ยังไม่ผิดนัดโจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 1 ถูกศาลแพ่งกรุงเทพใต้มีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำร้องไม่ขอเข้าว่าคดีแทน และขอให้จำหน่ายคดีของจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 ออกจากสารบบความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ร่วมกันชำระเงิน148,605,815.52 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปีของต้นเงิน 132,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 2 รับผิดไม่เกิน 87,000,000 บาทจำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันรับผิดไม่เกิน 35,000,000 บาทจำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 ร่วมกันรับผิดไม่เกิน 127,225,500 บาทแต่ทั้งนี้ไม่ต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตกทอดแก่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 หากจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 2193 แขวงบางพรม (บางเชือกหนัง)เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานครและที่ดินโฉนดดังกล่าวเลขที่ 20387ถึง 20417 ตำบลลาดบัวหลวง อำเภอลาดบัวหลวง (เสนาน้อย)จังหวัดพระนครศรีอยุธยา รวม 31 โฉนด พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7ร่วมกันรับผิดชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี ของต้นเงิน63,247,500 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1เป็นหนี้โจทก์ตามสัญญาขายลดเช็คตั๋วสัญญาใช้เงิน สัญญาค้ำประกันสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิตและทรัสต์รีซีท เพื่อเป็นการประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2534จำเลยที่ 4 ได้ตกลงเข้าค้ำประกันการชำระหนี้จำนวน 35,000,000บาท โดยยอมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 จนกว่าโจทก์จะได้รับชำระหนี้โดยสิ้นเชิง ตามคำฟ้องแสดงให้เห็นถึงสภาพแห่งข้อหาว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 4 รับผิดตามสัญญาค้ำประกันในหนี้ของจำเลยที่ 1 และขอให้บังคับจำเลยที่ 4 ใช้เงินตามสัญญาค้ำประกันจำนวน 35,000,000 บาท ชัดแจ้งแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ปัญหาข้อต่อไปมีว่า โจทก์ได้มอบอำนาจให้นายกฤษณ์ สถานานนท์เป็นผู้ฟ้องคดีโดยชอบหรือไม่ โจทก์อ้างนายกฤษณ์ผู้รับมอบอำนาจและนางสาวสุพร อุ่นพานทอง พนักงานวิเคราะห์สินเชื่อของโจทก์เบิกความว่านายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ กรรมการผู้จัดการคนเดียวลงลายมือชื่อกระทำการแทนโจทก์ได้ นายกฤษณ์เป็นผู้นำหนังสือมอบอำนาจไปให้นายเกริกเกียรติ ลงลายมือชื่อตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.2 จำเลยที่ 4 มิได้นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงฟังได้ว่านายเกริกเกียรติลงลายมือชื่อกระทำการแทนโจทก์ได้ และนายเกริกเกียรติได้ลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.2 มอบอำนาจให้นายกฤษณ์เป็นผู้ฟ้องร้องคดีแทนโจทก์ หนังสือมอบอำนาจดังกล่าวได้ปิดอากรแสตมป์ครบถ้วน ระบุให้มีอำนาจยื่นฟ้องคดีแพ่งได้ทั่วไป แม้จะมิได้ระบุเจาะจงให้ฟ้องจำเลยที่ 4 ในคดีนี้ก็เป็นหนังสือมอบอำนาจที่สมบูรณ์ใช้ฟ้องร้องจำเลยที่ 4 ในคดีนี้ได้
ปัญหาที่จะวินิจฉัยข้อสุดท้ายมีว่า จำเลยที่ 4 ได้ทำสัญญาค้ำประกันตามเอกสารหมาย จ.66 หรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 4 ได้ทำสัญญาค้ำประกันตามเอกสารหมาย จ.66 ต่อโจทก์จริง ส่วนฎีกาข้ออื่นจำเลยที่ 4 มิได้ให้การไว้ ทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้
แต่ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้บังคับจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 20387 ถึง 20417 ตำบลลาดบัวหลวง อำเภอลาดบัวหลวง(เสนาน้อย) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทั้งหมดนั้น เป็นการไม่ชอบเพราะจำเลยที่ 3 จดทะเบียนจำนองที่ดิน 31 โฉนด ดังกล่าวเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 3 โจทก์จึงชอบที่จะบังคับจำนองได้เฉพาะส่วนของจำเลยที่ 3 และปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยที่ 4 ไม่ได้ยกขึ้นอ้างในฎีกา แต่ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 20387ถึง 20417 ตำบลลาดบัวหลวง อำเภอลาดบัวหลวง (เสนาน้อย)จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เฉพาะส่วนของจำเลยที่ 3 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share