แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ไว้โดยชัดแจ้งแล้วว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์เนื่องจากที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติรายละเอียดจำเลยจะนำสืบและอ้างเอกสารส่งในชั้นพิจารณาคำให้การของจำเลยจึงมีประเด็นว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือไม่เมื่อศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากที่ดินพิพาทเป็นที่ดินป่าสงวนแห่งชาติหรือไม่โดยให้จำเลยสืบก่อนแล้วโจทก์สืบแก้หากโจทก์เห็นว่าจำเลยมิได้ให้การปฏิเสธโดยชัดแจ้งในประเด็นดังกล่าวโจทก์ชอบที่จะโต้แย้งคำสั่งดังกล่าวของศาลชั้นต้นไว้เนื่องจากเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาแต่โจทก์มิได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา226 โจทก์ฎีกาว่าพยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบยังฟังไม่ได้ว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาตินั้นเป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค3จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงซึ่งคดีมีราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่ง ส่วนโจทก์ฎีกาว่าจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ฎีกาโจทก์ข้อนี้โจทก์ได้อุทธรณ์ประเด็นข้อนี้ต่อศาลอุทธรณ์ภาค3แต่ศาลอุทธรณ์ภาค3ไม่ได้วินิจฉัยและฎีกาของโจทก์ข้อนี้ไม่ได้คัดค้านว่าการที่ศาลอุทธรณ์ภาค3ไม่วินิจฉัยไม่ชอบแต่อย่างใดฎีกาของโจทก์ไม่ชัดแจ้งไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารพร้อมทั้งรื้อถอนบ้านเลขที่ 204/2 และสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 1774ของโจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้บุกรุกที่ดินของโจทก์ตามโฉนดเลขที่ 1774 เมื่อปี 2514 จำเลยได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินว่างเปล่าโดยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาเป็นเวลา 20 ปี ไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน โจทก์ไม่ใช่เจ้าที่ดินพิพาท เพราะที่ดินดังกล่าวอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าคลองหัวเขียวและป่าคลองเกาะสมุย บริเวณหลักเขตป่าสงวนที่ 23 โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อแรกว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่วินิจฉัยในประเด็นที่โจทก์อุทธรณ์ว่าคำให้การของจำเลยที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นป่าสงวนแห่งชาติ โดยมิได้อ้างว่าเป็นเพราะเหตุใดโดยชัดแจ้ง คงอ้างแต่เพียงว่าจะขอนำสืบและอ้างส่งเอกสารในชั้นพิจารณานั้น เป็นคำให้การที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง จึงไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่าในวันชี้สองสถานศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทและมีคำสั่งให้จำเลยนำสืบก่อนแล้วโจทก์สืบแก้ โดยโจทก์มิได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นว่าไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องอย่างใด ถือว่าข้ออ้างของโจทก์เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นต้องห้ามอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่รับวินิจฉัยโจทก์ไม่เห็นพ้องด้วย เพราะการนำพยานเข้าสืบของจำเลยและการรับฟังพยานหลักฐานจำเลยของศาลได้เกิดขึ้นภายหลังวันชี้สองสถาน เป็นเรื่องที่มิอาจโต้แย้งคำสั่งได้นั้น เห็นว่า จำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ไว้โดยชัดแจ้งแล้วว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ เนื่องจากที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าคลองหัวเขียวและป่าคลองเกาะสุย จังหวัดระนองบริเวณหลักเขตป่าสงวนที่ 23 รายละเอียดจำเลยจะนำสืบและอ้างเอกสารส่งในชั้นพิจารณา คำให้การของจำเลยจึงมีประเด็นว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือไม่ ดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากที่ดินพิพาทเป็นที่ดินป่าสงวนแห่งชาติหรือไม่ โดยให้จำเลยสืบก่อนแล้วโจทก์สืบแก้ เมื่อโจทก์เห็นว่าจำเลยมิได้ให้การปฏิเสธโดยชัดแจ้งในประเด็นดังกล่าว และศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยนำสืบก่อน โจทก์ชอบที่จะโต้แย้งคำสั่งดังกล่าวของศาลชั้นต้นไว้เนื่องจากเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา แต่โจทก์มิได้โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3ไม่รับวินิจฉัยนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
โจทก์ฎีกาว่า พยานหลักฐานจำเลยที่นำสืบยังฟังไม่ได้ว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาตินั้น เห็นว่า ฎีกาข้อนี้เป็นการฎีกาโต้แย้งดุลยพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 3 จึงเป็นการฎีกาในข้อเท็จจริง ซึ่งคดีนี้ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์มา จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ เห็นว่า ฎีกาของโจทก์ข้อนี้โจทก์ได้อุทธรณ์ประเด็นข้อนี้ต่อศาลอุทธรณ์ภาค 3 แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่ได้วินิจฉัยและฎีกาของโจทก์ข้อนี้ไม่ได้คัดค้านว่าการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่รับวินิจฉัยไม่ชอบแต่อย่างใด ฎีกาของโจทก์จึงไม่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายืน