แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ที่พิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาไม่มีอำนาจนำที่พิพาทให้จำเลยเช่าจึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทและเรียกค่าเช่าจากจำเลย
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวนหนึ่งแก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ปัญหาที่จะวินิจฉัยในชั้นนี้มีว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้หรือไม่ ได้ความจากตัวโจทก์เบิกความว่า ที่พิพาทที่โจทก์ยึดถือครอบครองยังไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดิน ยังไม่มีการออก น.ส.3 เพราะทางราชการยังไม่เพิกถอนเขตป่าสงวนแห่งชาติ ดังนี้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่พิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14 บัญญัติว่า ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ห้ามมิให้บุคคลใดยึดถือหรือครอบครองที่ดิน ก่อสร้าง แผ้วถาง เผาป่า ทำไม้ เก็บหาของป่า หรือกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ เว้นแต่ทำไม้หรือเก็บหาของป่าตามมาตรา 15 เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยตามมาตรา 16 กระทำการตามมาตรา 17 ใช้ประโยชน์ตามมาตรา 18 หรือกระทำการตามมาตรา 19 หรือมาตรา 20 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่พิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ โจทก์จึงไม่มีอำนาจนำที่พิพาทดังกล่าวให้จำเลยเช่า ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาท และเรียกค่าเช่าจากจำเลย ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 340/2520 ระหว่างนายวินิจ ยุทธศักดิ์ โจทก์ นายนำ เอื้อเฟื้อ จำเลย”
พิพากษายืน