คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7030/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ใบแต่งทนายความของจำเลยจะลงชื่อส. หุ้นส่วนผู้จัดการจำเลยเพียงคนเดียวไม่เป็นไปตามข้อจำกัดอำนาจหุ้นส่วนผู้จัดการที่ระบุให้ส. ลงลายมือชื่อร่วมกับค. และประทับตราห้างจำเลยตามหนังสือรับรองนิติบุคคลซึ่งทำให้อำนาจของผู้แทนนิติบุคคลในการดำเนินคดีของจำเลยบกพร่องก็ตามแต่ต่อมาศาลอุทธรณ์ได้ใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา66ให้ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยดำเนินการแก้ไขข้อบกพร่องโดยการร้องขอต่อศาลตั้งผู้แทนชั่วคราวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา73และให้จัดทำใบแต่งทนายความขึ้นมาใหม่ซึ่งเป็นอำนาจที่ศาลอุทธรณ์กระทำได้เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจให้แก้ไขข้อบกพร่องนี้ได้เมื่อพบเห็นเองส่วนการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งส. เป็นผู้แทนชั่วคราวของจำเลยตามที่จำเลยยื่นคำร้องขอมาโดยค.ยังเป็นหุ้นส่วนของจำเลยผู้มีอำนาจลงชื่อร่วมกับส.ในการทำนิติกรรมต่างๆของห้างอยู่แต่ปรากฎว่าค.แสดงตนเป็นปฏิปักษ์กับจำเลยไม่ยอมลงชื่อในใบแต่งทนายความร่วมกับส.ตามข้อจำกัดอำนาจหุ้นส่วนผู้จัดการพฤติการณ์เช่นนี้ย่อมเกิดความเสียหายแก่จำเลยได้และไม่มีทางใดที่จะบังคับค. ได้เพื่อรักษาผลประโยชน์ของจำเลยการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งส. เป็นผู้แทนชั่วคราวของจำเลยและจำเลยได้เสนอใบแต่งทนายความฉบับใหม่ตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์แล้วย่อมทำให้อำนาจฟ้องที่บกพร่องนั้นเป็นอำนาจฟ้องที่สมบูรณ์ตามกฎหมายมาตั้งแต่เริ่มแรกจำเลยจึงมีอำนาจให้การต่อสู้คดีและฟ้องแย้งได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากอาคารของโจทก์ กับชดใช้ค่าเสียหายเดือนละ 5,000 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาให้โจทก์ไปดำเนินการโอนโฉนดที่ดินเลขที่ 91590 พร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 522/85 แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานครเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย โดยโจทก์เป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายในการโอนและภาษีสรรพากรทั้งสิ้น หากโจทก์ไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของโจทก์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ไปดำเนินการจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 91590 พร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 5322/85(ที่ถูกเป็นบ้านเลขที่ 522/85) แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวางกรุงเทพมหานคร ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย หากโจทก์ไม่ไปดำเนินการจดทะเบียนโอนแก่จำเลย ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ ในการจดทะเบียนโอนให้จำเลยชำระค่าธรรมเนียมและภาษีอากรในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์คำขออื่นตามฟ้องโจทก์และในฟ้องแย้งให้ยกเสีย
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่าเมื่อปี 2521 จำเลยได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด โดยมีโจทก์เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ต่อมาปี 2523 มีการซื้อที่ดินและอาคารเลขที่ 522/85 แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวางกรุงเทพมหานคร จากนางชุลีกร สวัสดิ์พาณิชย์ และใช้อาคารดังกล่าวเป็นสำนักงานของจำเลย ครั้นปี 2528 นายสมศักดิ์ รุ่งตระกูลชัยได้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการแทนโจทก์ และปี 2531 โจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินออกจากอาคารดังกล่าว
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่าจำเลยมีอำนาจฟ้องแย้งให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแก่จำเลยหรือไม่ที่โจทก์ฎีกาว่า ใบแต่งทนายความของจำเลยลงชื่อผู้แทนนิติบุคคลไม่เป็นไปตามข้อจำกัดอำนาจหุ้นส่วนผู้จัดการดังระบุไว้ในหนังสือรับรองนิติบุคคล ทำให้อำนาจดำเนินคดีของจำเลยบกพร่องมาแต่แรกการที่ศาลอุทธรณ์ใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 66 สั่งแก้ไขข้อบกพร่องดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะเป็นกรณีที่จำเลยต้องยื่นคำร้องขอแก้ไขข้อบกพร่องมาพร้อมคำให้การฟ้องแย้ง และศาลชั้นต้นต้องเป็นผู้ดำเนินการในเรื่องนี้ ดังนั้นเมื่อใบแต่งทนายความของจำเลยในคดีนี้ตามเอกสารหมาย จ.6 ปรากฎว่ามีนายสมศักดิ์ รุ่งตระกูลชัย เพียงผู้เดียวลงลายมือชื่อในช่องผู้แต่งทนายความโดยนายคงพจน์ คุณาเรืองเดช ซึ่งเป็นพี่ชายโจทก์หุ้นส่วนอีกคนหนึ่งไม่ได้ลงลายมือชื่อด้วย ใบแต่งทนายความของจำเลยจึงไม่ถูกต้อง ทั้งปัจจุบันนี้นายคมพจน์ยังเป็นหุ้นส่วนจำเลยผู้มีอำนาจลงชื่อในการทำนิติกรรมต่าง ๆ ร่วมกับนายสมศักดิ์ตามข้อจำกัดอำนาจหุ้นส่วนผู้จัดการจึงมิใช่ตำแหน่งผู้จัดการว่างลงตามบทบัญญัติมาตรา 73 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์การที่จำเลยเสนอใบแต่งทนายความขึ้นมาใหม่โดยมีนายสมศักดิ์เป็นผู้แทนชั่วคราวของจำเลยและศาลอุทธรณ์ได้อนุญาตก็เป็นคำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย คำให้การและฟ้องย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน จึงถือได้ว่าจำเลยไม่ได้ยกข้อต่อสู้ใด ๆ ขึ้นต่อสู้ในคดีเลยจำเลยจึงไม่มีอำนาจฟ้องแย้งให้โจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยนั้น เห็นว่า แม้ใบแต่งทนายความของจำเลยตามเอกสารหมาย จ.6 จะลงชื่อนายสมศักดิ์ รุ่งตระกูลชัย หุ้นส่วนผู้จัดการจำเลยเพียงคนเดียว ไม่เป็นไปตามข้อจำกัดอำนาจหุ้นส่วนผู้จัดการที่ระบุให้นายสมศักดิ์ ลงลายมือชื่อร่วมกับนายคมพจน์ คุณาเรืองเดชและประทับตราห้างจำเลยตามหนังสือรับรองนิติบุคคลท้ายฟ้องซึ่งทำให้อำนาจของผู้แทนนิติบุคคลในการดำเนินคดีของจำเลยบกพร่องก็ตาม แต่ต่อมาศาลอุทธรณ์ได้ใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 66 ให้ศาลชั้นต้นให้จำเลยดำเนินการแก้ไขข้อบกพร่องโดยการร้องขอต่อศาลตั้งผู้แทนชั่วคราวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 73 และให้จัดทำใบแต่งทนายความขึ้นมาใหม่ ซึ่งเป็นอำนาจที่ศาลอุทธรณ์กระทำได้เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมและศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจให้แก้ไขข้อบกพร่องนี้ได้เมื่อพบเห็นเอง ส่วนการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งนายสมศักดิ์รุ่งตระกูลชัย เป็นผู้แทนชั่วคราวของจำเลยตามที่จำเลยยื่นคำร้องขอมา โดยนายคมพจน์ คุณาเรืองเดชยังเป็นหุ้นส่วนของจำเลยผู้มีอำนาจลงชื่อร่วมกับนายสมศักดิ์ในการทำนิติกรรมต่าง ๆ ของห้างอยู่ แต่ปรากฎว่านายคมพจน์แสดงตนเป็นปฏิปักษ์กันจำเลยไม่ยอมลงชื่อในใบแต่งทนายความร่วมกับนายสมศักดิ์ ตามข้อจำกัดอำนาจหุ้นส่วนผู้จัดการ พฤติการณ์เช่นนี้ย่อมเกิดความเสียหายแก่จำเลยได้ และก็ไม่มีทางใดที่จะบังคับนายคมพจน์ได้ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของจำเลย การที่ศาลชั้นต้นตั้งนายสมศักดิ์เป็นผู้แทนชั่วคราวของจำเลย และจำเลยได้เสนอใบแต่งทนายความฉบับใหม่ตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์แล้วย่อมทำให้อำนาจฟ้องที่บกพร่องนั้นเป็นอำนาจฟ้องที่สมบูรณ์ตามกฎหมายมาตั้งแต่เริ่มแรก จำเลยจึงมีอำนาจให้การต่อสู้คดีและฟ้องแย้งได้
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการสุดท้ายมีว่า โจทก์หรือจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินและอาคารพิพาท ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์นำเงินของจำเลยไปซื้อที่ดินและอาคารพิพาทแทนจำเลยแล้วโอนใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ถือได้ว่าถือกรรมสิทธิ์แทนจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและอาคารพิพาทที่แท้จริง
พิพากษายืน

Share