แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าจำเลยขับเรือออกไปจากท่าด้วยความเร็วปกติในขณะที่ยังไม่มีพายุคลื่นลม พายุและคลื่นปั่นป่วนเพิ่งเกิดขึ้นในทันใดเมื่อจำเลยขับเรือออกไปจากท่าแล้วได้ประมาณ 10 เส้น ได้พัดเรือของจำเลยล่มจมลงไปทันทีนั้นเอง อันเป็นอุบัติเหตุ หาใช่เพราะจำเลยขับเรือด้วยความเร็วสูงฝ่าพายุไป อันเป็นการกระทำโดยประมาทตามโจทก์ฟ้องไม่ ดังนี้ การที่โจทก์ฎีกาว่าการกระทำของจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังมา เป็นการกระทำโดยประมาทตามกฎหมาย และเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จึงมีผลเท่ากับโต้เถียงว่า ผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะการกระทำโดยประมาทของจำเลย ไม่ใช่เพราะอุบัติเหตุ จึงเป็นการโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้โจทก์ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับเรือยนต์ส่งรับคนโดยสารจากท่าเรือเขื่อนลำปาวไปตามแม่น้ำของเขื่อน ซึ่งมีน้ำลึกมากและกว้างใหญ่ โฉมหน้าไปยังท่าเรือบ้านสว่าง ด้วยความเร็วสูงในขณะที่มีลมพายุหรือลมแรงในแม่น้ำ ซึ่งตามวิสัยของจำเลยซึ่งเป็นคนขับจักต้องระมัดระวังมิให้เรือล่ม โดยไม่ขับไปด้วยความเร็วสูงเกินความสามารถของจำเลยที่จะขับเรือไปด้วยความปลอดภัยและไม่ขับเรือแล่นไปในขณะที่มีลมพายุหรือลมแรงในแม่น้ำ จำเลยอาจใช้ความระมัดระวังได้ แต่จำเลยไม่ใช้ให้เพียงพอ ทำให้เรือยนต์ที่จำเลยขับไป ล่มจมน้ำเพราะการกระทำโดยประมาทของจำเลย เป็นเหตุให้นายสายทอง นามวงษา ซึ่งนั่งโดยสารมาจมน้ำตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291
จำเลยให้การว่า ขับเรือรับผู้ตายไปโดยไม่ได้ค่าจ้าง เรือล่มเพราะถูกลมพัดผู้ตายจมน้ำตาย แต่ไม่ใช่เพราะความประมาทของจำเลย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เชื่อว่าเรือจำเลยถูกพายุและคลื่นพัดโดยแรงในทันทีทันใดทำให้เรือล่ม เป็นอุบัติเหตุหาใช่เพราะเหตุจำเลยขับเรือด้วยความเร็วสูงฝ่าพายุอันเป็นการกระทำโดยประมาทปราศจากความระมัดระวังดังโจทก์ฟ้องไม่ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาว่า การกระทำของจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังมานั้น เป็นการกระทำโดยประมาทตามกฎหมาย และเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59, 291 ตามที่โจทก์ฟ้อง มิใช่อุบัติเหตุ ขอให้ลงโทษจำเลยตามฟ้อง
ศาลฎีกาได้พิเคราะห์ฎีกาโจทก์แล้ว เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้บังอาจขับเรือยนต์ไปด้วยความเร็วสูง เกินกว่าความสามารถที่จะหยุดเรือได้ทันตามความต้องการ หรือบังคับเรือให้อยู่ในทิศทางที่ปลอดภัย และได้ขับไปในขณะที่มีลมพายุหรือลมแรงในแม่น้ำ อันเป็นการกระทำโดยประมาทปราศจากความระมัดระวังของจำเลย เป็นเหตุให้นายสายทอง นามวงษา ซึ่งนั่งโดยสารในเรือนั้น จมน้ำถึงแก่ความตายศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยขับเรือออกไปจากท่าด้วยความเร็วปกติในขณะที่ยังไม่มีพายุคลื่นลม พายุลมแรงและคลื่นปั่นป่วนเพิ่งเกิดขึ้นในทันใดเมื่อจำเลยขับเรือห่างออกไปจากท่าแล้วได้ประมาณ 10 เส้นได้พัดเรือของจำเลยล่มจมลงในทันทีนั้นเอง อันเป็นอุบัติเหตุ หาใช่เพราะจำเลยขับเรือด้วยความเร็วสูงฝ่าพายุไปอันเป็นการกระทำโดยประมาทตามโจทก์ฟ้องไม่ พิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโดยอาศัยข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับศาลชั้นต้น ตามฎีกาโจทก์ดังกล่าวข้างต้นนั้น ศาลฎีกาเห็นว่ามีผลเท่ากับโต้เถียงว่านายสายทอง นามวงษา ถึงแก่ความตายเพราะการกระทำโดยประมาทไม่ใช่เพราะอุบัติเหตุ นั่นเอง จึงเป็นการโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามมิให้โจทก์ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย ให้ยกฎีกาโจทก์