แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ดินที่มีโฉนดเป็นสำคัญ นั้น เมื่อจำเลยครอบครองอย่างเป็นเจ้าของมายังไม่ถึง 10 ปี ย่อมยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ ฉะนั้น จะยกอำนาจปรปักษ์ขึ้นยันต่อโจทก์ผู้เป็นเจ้าของหาได้ไม่
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นสั่งรวมพิจารณาและพิพากษา เพราะที่ดินอยู่ติดต่อกัน
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่นาโฉนดที่ ๑๒๗๒ เนื้อที่ ๑๙๔ ไร่ ๒๑ วา และที่นาที่โฉนดที่ ๔๔๒ เนื้อที่ ๑๐๐ ไร่ ๓๒ วา จำเลยได้บุกรุกเข้าไปทำนาในเนื้อที่ดินบางส่วนของโจทก์ดังกล่าว ขอให้บังคับขับไล่จำเลยและบริวารออกไป และให้ใช้ค่าเสียหาย
นายม้วนจำเลยให้การว่า ที่นานี้มีอยู่ ๑๒๕ ไร่ ได้โก่นสร้างและครอบครองเป็นเจ้าของมาเกือบ ๒๐ ปี ส่วนนายเลาะหรือล้อให้การว่า ที่นานี้มีอยู่ ๗๔ ไร่ ซึ่งโก่นสร้างครอบครองเป็นเจ้าของมา ๑๔ – ๑๕ ปี ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสองแล้ว ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกสูงเกินไป กับตัดฟ้อง่ว่าโจทก์ฟ้องเคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นวินิจฉัย โดยฟังข้อเท็จจริงว่า ที่พิพาทอยู่ในโฉนดของโจทก์ซึ่งซื้อมาโดยชอบ จำเลยทั้งสองเพิ่งเข้าครอบครองที่พิพาทรวม ๕ – ๖ ปี จะยกขึ้นยันกรรมสิทธิ์ของโจทก์หาได้ไม่ พิพากษาขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวาร กับให้ใช้ค่าเสียหาย
จำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงไม่มีหลักฐานให้เป็นที่เชื่อได้ว่า จำเลยทั้งสองได้เข้าครอบครองที่พิพาทอย่างเป็นเจ้าของมาไม่น้อยกว่า ๒๐ ปี ดังข้อต่อสู้ จะฟังได้ก็แต่ว่านายม้วนนายล้อจำเลยได้เข้าครอบครองที่พิพาทมาไม่ก่อน พ.ศ.๒๔๙๕ หรือ ๒๔๙๖ เป็นอย่างช้าที่สุด เมื่อจำเลยครอบครองที่พิพาทอย่างเป็นเจ้าของมายังไม่ถึง ๑๐ ปี เพราะใน พ.ศ.๒๕๐๒ โจทก์ก็ฟ้องคดีต่อศาล ฉะนั้น จำเลยจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์อันจะพึงยกอำนาจปรปักษ์ขึ้นยันต่อโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ เพราะที่ดินที่พิพาทเป็นที่ดินมีโฉนดเป็นสำคัญ พิพากษายืน ให้ยกฎีกาจำเลย