แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาต่อพนักงานสอบสวนและเป็นการแจ้งโดยมีเจตนาที่จะแกล้งให้ จ. และ ธ. ได้รับโทษฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และเอาของมีพิษหรือสิ่งอื่นที่น่าจะเป็นอันตรายแก่สุขภาพเจือลงในน้ำที่มีอยู่หรือจัดไว้เพื่อประชาชนบริโภค การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 172 และมาตรา 174 วรรคสอง และความผิดดังกล่าวนี้เป็นความผิดสำเร็จเมื่อพนักงานสอบสวนได้ทราบข้อความที่จำเลยแจ้งพนักงานสอบสวนจะทราบว่าข้อความที่จำเลยแจ้งเป็นความเท็จหรือไม่ ศาลจะมีคำพิพากษาอย่างไร และถึงที่สุดแล้วหรือไม่ หาใช่ข้อสำคัญที่จะฟังว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ จึงไม่ต้องพิจารณาสำนวนคดีที่ฟ้อง จ. และ ธ. และผลของคำพิพากษาของศาลในคดีดังกล่าว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172, 174
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172, 174 วรรคสอง จำคุก 3 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นตามที่โจทก์และจำเลยนำสืบรับกันและไม่โต้เถียงกันฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2538 พันตำรวจตรีอุทัยพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอพระประแดง ได้รับแจ้งจากพนักงานบริษัทจรุงไทย ไวร์แอนด์เคเบิ้ล จำกัด ว่า มีคนร้ายนำสารพิษเจือปนในน้ำดื่มที่บริษัทจัดไว้ให้แก่พนักงาน และมีพนักงานของบริษัท 4 คน ดื่มน้ำจากตู้น้ำดื่มดังกล่าวแล้วมีอาการอาเจียนอย่างรุนแรงจึงไปตรวจสอบ ต่อมาจากการสอบสวนทราบว่าจำเลยเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ วันที่ 28 มีนาคม 2538 พันตำรวจตรีอุทัยได้เรียกจำเลยมาสอบสวนเป็นพยาน จำเลยให้การว่าจำเลยไม่เห็นเหตุการณ์ ต่อมาวันที่ 25 พฤษภาคม 2538 พันตำรวจตรีอุทัยไปสอบสวนจำเลยที่บริษัทที่เกิดเหตุ จำเลยให้การเพิ่มเติมว่า ในวันเกิดเหตุ เวลาประมาณ 11.30 นาฬิกา จำเลยเห็นนายจักรวาฬและนายธงชัยร่วมกันใส่สารเคมีไม่ทราบว่าเป็นสิ่งใดลงไปในถังน้ำดื่ม และหลังเกิดเหตุจำเลยถูกนายจักรวาฬข่มขู่มาโดยตลอด เนื่องจากจำเลยเห็นเหตุการณ์และแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบ แต่ที่จำเลยให้การเพิ่มเติมต่อพนักงานสอบสวนในครั้งหลังนี้เพราะนายจักรวาฬถูกไล่ออกไปแล้ว หลังจากนั้นพันตำรวจตรีอุทัยได้ดำเนินคดีแก่นายจักรวาฬและนายธงชัยในข้อหาร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และเอาของมีพิษหรือสิ่งอื่นที่น่าจะเป็นอันตรายแก่สุขภาพเจือลงในน้ำที่มีอยู่หรือจัดไว้เพื่อประชาชนบริโภคและพนักงานอัยการได้ฟ้องบุคคลทั้งสองเป็นจำเลยต่อศาลชั้นต้นตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 6273/2538 และ 6908/2540 ต่อมาพนักงานอัยการอ้างจำเลยเบิกความเป็นพยาน จำเลยกลับเบิกความในคดีทั้งสองคดีนั้นว่า จำเลยไม่เห็นเหตุการณ์ที่คนร้ายนำสารพิษใส่ลงไปในน้ำดื่ม และยืนยันว่าที่จำเลยให้การต่อพนักงานสอบสวนในวันที่ 25 พฤษภาคม 2538 นั้นเป็นเท็จ พนักงานสอบสวนจึงดำเนินคดีแก่จำเลยเป็นคดีนี้ ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยมีความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีพันตำรวจตรีอุทัยพนักงานสอบสวนเป็นพยานเบิกความยืนยันว่า จำเลยให้การเพิ่มเติมต่อพยานเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2538 ว่า จำเลยเห็นนายจักรวาฬและนายธงชัยกระทำความผิดโดยร่วมกันใส่สารเคมี ไม่ทราบว่าเป็นสิ่งใดลงไปในถังน้ำดื่ม และก่อนจะให้จำเลยลงลายมือชื่อในบันทึกคำให้การดังกล่าว พยานได้ให้จำเลยอ่านบันทึกคำให้การด้วยตนเองและพยานได้อ่านให้จำเลยฟังแล้ว แต่ต่อมาเมื่อจำเลยไปเบิกความเป็นพยานในคดีที่ฟ้องนายจักรวาลและนายธงชัยเป็นจำเลยตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 6273/2538 และ 6908/2540 ของศาลชั้นต้น จำเลยกลับเบิกความยืนยันว่าจำเลยไม่เห็นเหตุการณ์ที่เคยให้การไว้ว่านายจักรวาฬและนายธงชัยกระทำความผิดและจำเลยยังยืนยันต่อศาลด้วยว่า ข้อเท็จจริงที่จำเลยให้การต่อพยานเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2538 ว่าจำเลยเห็นนายจักรวาฬและนายธงชัยร่วมกันกระทำความผิดนั้นเป็นความเท็จ นอกจากนี้จำเลยเองก็นำสืบรับว่าจำเลยให้การต่อพนักงานสอบสวน 2 ครั้ง โดยครั้งแรกจำเลยให้การว่าไม่เห็นบุคคลใดกระทำความผิด ต่อมาอีก 2 เดือน พนักงานสอบสวนไปสอบสวนจำเลยที่บริษัทอีกครั้งหนึ่งและพนักงานสอบสวนพูดคุยกับนายสายัณห์ผู้ช่วยผู้จัดการซึ่งเป็นหัวหน้างานของจำเลยว่า หากจำเลยไม่ให้การว่าเห็นเหตุการณ์จะไล่จำเลยออกจากงาน จำเลยจึงให้การต่อพนักงานสอบสวนว่าจำเลยเห็นเหตุการณ์เพราะกลัวจะถูกไล่ออกจากงาน แต่ความจริงจำเลยไม่เห็นเหตุการณ์ ซึ่งเจือสมพยานโจทก์ ทั้งคำเบิกความของจำเลยเองก็เป็นการยอมรับแล้วว่า ความจริงจำเลยไม่รู้เห็นเหตุการณ์ในการกระทำความผิดของนายจักรวาฬและนายธงชัย ส่วนที่จำเลยไปให้การต่อพันตำรวจตรีอุทัยพนักงานสอบสวนว่า จำเลยเห็นนายจักรวาฬและนายธงชัยร่วมกันกระทำความผิดนั้นเป็นความเท็จ ดังนี้ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยได้แจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาต่อพนักงานสอบสวนจริง และการแจ้งของจำเลยดังกล่าวทำให้นายจักรวาฬและนายธงชัยถูกดำเนินคดีในข้อหาร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และเอาของมีพิษหรือสิ่งอื่นที่น่าจะเป็นอันตรายแก่สุขภาพเจือลงในน้ำที่มีอยู่หรือจัดไว้เพื่อประชาชนบริโภค ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จดังกล่าวโดยมีเจตนาที่จะแกล้งให้นายจักรวาฬและนายธงชัยได้รับโทษ หรือกระทำไปเพราะถูกข่มขู่ดังที่จำเลยนำสืบต่อสู้หรือไม่ ซึ่งในข้อนี้ เห็นว่า จำเลยมีตัวจำเลยเบิกความลอยๆ เพียงปากเดียวว่า ที่จำเลยให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จต่อพนักงานสอบสวนเพราะกลัวถูกออกจากงาน โดยอ้างว่าก่อนจำเลยให้การต่อพนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนได้พูดคุยกับนายสายัณห์ผู้ช่วยผู้จัดการซึ่งเป็นหัวหน้างานของจำเลยว่า หากจำเลยไม่ให้การว่าเห็นเหตุการณ์จะไล่จำเลยออกจากงาน แต่จำเลยก็ไม่นำนายสายัณห์มาเบิกความยืนยันว่าพนักงานสอบสวนได้พูดกับนายสายัณห์ตามที่จำเลยอ้างหรือไม่นอกจากนี้ข้อเท็จจริงยังปรากฏอีกว่า ในคดีที่ฟ้องนายจักรวาฬและจำเลยไปเบิกความเป็นพยานนั้น จำเลยก็มิได้อ้างว่าจำเลยให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จต่อพนักงานสอบสวนเพราะถูกข่มขู่ หรือกลัวว่าจะถูกไล่ออกจากงาน ส่วนในคดีที่ฟ้องนายธงชัยและจำเลยไปเบิกความเป็นพยานตามบันทึกคำเบิกความพยานโจทก์จำเลยกลับเบิกความว่า ที่จำเลยให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จต่อพนักงานสอบสวน เนื่องจากกลัวว่านายพิสิฎฐ์ซึ่งเป็นหัวหน้าแผนกจะให้จำเลยออกจากงาน แต่นายพิสิฎฐ์ก็ไม่ได้ข่มขู่จำเลย ซึ่งไม่ตรงกับที่จำเลยนำสืบต่อสู้ในคดีนี้ รวมทั้งจำเลยยังเบิกความด้วยว่าพนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานตำรวจไม่เคยข่มขู่หรือขู่เข็ญจำเลยให้ให้การแต่อย่างใด ดังนี้ ข้ออ้างของจำเลยที่ว่าจำเลยให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จต่อพนักงานสอบสวนเพราะถูกข่มขู่ จึงไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟัง พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ว่า จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาต่อพนักงานสอบสวนและเป็นการแจ้งโดยมีเจตนาที่จะแกล้งให้นายจักรวาฬและนายธงชัยได้รับโทษฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และเอาของมีพิษหรือสิ่งอื่นที่น่าจะเป็นอันตรายแก่สุขภาพเจือลงในน้ำที่มีอยู่หรือจัดไว้เพื่อประชาชนบริโภค การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 และมาตรา 174 วรรคสอง และความผิดดังกล่าวนี้เป็นความผิดสำเร็จเมื่อพนักงานสอบสวนได้ทราบข้อความที่จำเลยแจ้ง พนักงานสอบสวนจะทราบว่าข้อความที่จำเลยแจ้งเป็นความเท็จหรือไม่ คดีที่ผู้ต้องหาถูกฟ้องว่ากระทำความผิดเนื่องจากการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จของจำเลยนั้นศาลจะมีคำพิพากษาอย่างไร และถึงที่สุดแล้วหรือไม่ หาใช่ข้อสำคัญที่จะฟังว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ ฉะนั้น แม้โจทก์จะไม่อ้างส่งสำนวนคดีที่ฟ้องนายจักรวาฬและนายธงชัยต่อศาลชั้นต้นตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 6273/2538 และ 6908/2540 และคำพิพากษาของศาลในคดีดังกล่าวเป็นพยานก็หามีผลทำให้พยานโจทก์ขาดน้ำหนักที่จะรับฟังหรือเป็นพิรุธสงสัยดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 ประกอบด้วยมาตรา 174 วรรคสอง จำคุก 1 ปี คำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม ชั้นสอบสวน และทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 เดือน