คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 380/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การโอนขายทรัพย์โดยสมยอมกันอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นแม้ศาลจะได้พิพากษาตามยอมให้ลูกหนี้โอนทรัพย์แก่บุคคลอื่นแล้วก็ตามเจ้าหนี้ก็มีสิทธิขอให้ศาลเพิกถอนการโอนโดยไม่สุจริตนั้นได้

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ในชั้นศาลฎีกาได้มีคำสั่งให้รวมพิจารณา

คดีเรื่องร้องขัดทรัพย์นั้น เดิมโจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินกู้กับดอกเบี้ยแก่โจทก์ คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์นำยึดเรือน 1 หลัง อ้างว่าเป็นของจำเลยผู้ร้องยื่นคำร้องขัดทรัพย์ ขอให้ถอนการยึด ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้องขัดทรัพย์แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษายก ให้รอฟังผลในคดีแพ่งอีกคดีหนึ่งให้ถึงที่สุดก่อน โจทก์ฎีกา

สำนวนที่สอง โจทก์ฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายเรือนพิพาทระหว่างผู้ร้องขัดทรัพย์กับจำเลยและเพิกถอนสัญญาประนีประนอมในคดีนั้นด้วย ศาลชั้นต้นพิพากษาตามฟ้องโจทก์ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา

มีปัญหาข้อกฎหมายมาสู่ศาลฎีกาว่า ที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ลูกหนี้ และจำเลยที่ 2 ผู้ร้องขัดทรัพย์ ขอให้เพิกถอนนิติกรรมที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ไปขอทำยอมในคดีแพ่งแดงที่ 3276/2503 ได้หรือไม่ศาลฎีกาเห็นว่า เรื่องนี้โจทก์คัดค้านว่า หนี้ที่จำเลยที่ 2 นำมาฟ้องจำเลยที่ 1 ในคดีดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นโดยสมยอมกัน ศาลจำต้องฟังพยานว่าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้จำเลยที่ 2 จริงหรือไม่เพราะโจทก์อ้างว่ามูลหนี้ที่จำเลยที่ 2 นำมาฟ้องจำเลยที่ 1 ไม่มีอยู่จริง ทำให้โจทก์เสียเปรียบ

สรุปแล้ว ศาลฎีกาเห็นว่า ตามข้อเท็จจริงนั้น ส่อแสดงให้ศาลฟังไม่สนิทว่าจำเลยที่ 2 ได้ซื้อเรือนพิพาทไว้จากจำเลยที่ 1 โดยสุจริต น้ำหนักถ้อยคำพยานจำเลยที่ 2 และเหตุผลสู้พยานโจทก์ไม่ได้ การกระทำนิติกรรมสัญญาระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 เป็นกรณีให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 เสียเปรียบ

พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องขัดทรัพย์และให้เพิกถอนการโอนเรือนพิพาทอันเป็นการฉ้อฉลระหว่างจำเลยที่ 1 กับที่ 2

Share