แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาประนีประนอมยอมความมีข้อความว่าจำเลยยอมให้เงินโจทก์ 9,600 บาท ถ้าโจทก์กับจำเลยตกลงทำสัญญาค้าสุราขายส่งตำบลภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้แล้วถือว่าเงินจำนวนนี้เป็นเงินมัดจำของสัญญา ซึ่งโจทก์กับจำเลยจะได้กระทำกันต่อไป ถ้าพ้นกำหนดไปแล้วถือว่าโจทก์ไม่ติดใจจะทำสัญญาค้าสุรากับจำเลยต่อไป ดังนี้ แม้ต่อมาจำเลยจะไม่ยอมขายสุราให้โจทก์ โจทก์ก็จะมาขอให้ศาลบังคับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเพราะถือว่าจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความมิได้เพราะมิใช่เป็นการขอให้บังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายและเงินมัดจำจากจำเลย ต่อมาได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาลว่า “จำเลยที่ ๑ ยอมให้เงินแก่โจทก์ ๙,๖๐๐ บาท โดยจ่ายเช็คเลขที่ ๑๖๓๒๗๖ ให้โจทก์แล้วเช็คมีผลรับเงินได้ในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๐๕ ถ้าโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ตกลงทำสัญญาค้าสุราขายส่งตำบล มีที่ทำการที่บ้านของโจทก์ ฯลฯ ซึ่งจำเลยที่ ๒ จะต้องสนองตามที่โจทก์กับจำเลยที่ ๑ จะได้ตกลงกันภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๐๕ แล้ว ให้ถือว่าเช็คดังกล่าวเป็นเงินมัดจำของสัญญาซึ่งโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จะได้กระทำกันต่อไปในเวลาดังกล่าว ถ้าพ้นวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๐๕ ไปแล้ว ถือว่าโจทก์ไม่ติดใจจะทำสัญญาการค้าสุรากับจำเลยที่ ๑ ต่อไป และมีสิทธิรับเงินตามเช็คดังกล่าวไปได้ ฯลฯ”
ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องว่า ได้ขอซื้อสุราจากจำเลยแล้ว แต่จำเลยไม่ยอมขายให้ เป็นการผิดสัญญายอมความ จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญายอมความคือ ใช้ค่าเสียหาย ให้ ๒๕,๙๒๐ บาท
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คำร้องของโจทก์ทำไม่ถูกต้อง เพราะอ้างเหตุผิดสัญญาภายหลังมาเป็นมูลเรียกค่าเสียหาย ไม่เสียค่าฤชาธรรมเนียม และโจทก์สมัครใจทำการค้าอยู่อีก ให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่โจทก์กับจำเลยที่ ๑ จะทำสัญญาค้าสุรากันต่อไปอย่างไร เป็นเรื่องนอกสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จะต้องเจรจาทำความตกลงกันใหม่อีกชั้นหนึ่ง ถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่ยอมทำ ก็ไม่ถือว่าผิดสัญญายอมความ สัญญานี้คงใช้บังคับได้เฉพาะที่เกี่ยวกับเงิน ๙,๖๐๐ บาทเท่านั้น ที่โจทก์เรียกให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย จึงมิใช่เป็นการขอให้บังคับตามสัญญายอมความ
พิพากษายืน