คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 226/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ทำสัญญากับจำเลยผู้เป็นบุตรว่า โจทก์ยินยอมสละสิทธิในการรับมรดก ซึ่งมีสังหาริมทรัพย์ อสังหาริมทรัพย์ สิทธิและประโยชน์ซึ่งโจทก์มีสิทธิได้รับจากบิดาโจทก์ โดยยินยอมให้ทรัพย์มรดกดังกล่าวตกทอดได้แก่จำเลย สัญญาดังกล่าวมิใช่สัญญาประนีประนอมยอมความเพราะโจทก์จำเลยมิได้มีข้อพิพาทกันเกี่ยวกับทรัพย์มรดกของบิดาโจทก์ในขณะที่สัญญาหรือจะมีขึ้นในภายหน้า หากเป็นสัญญาให้สังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์
สัญญาให้สังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์เมื่อไม่ได้มีการส่งมอบทรัพย์สินที่ให้ ทั้งไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 523 ถึง 525 บังคับไว้ย่อมไม่สมบูรณ์ เท่ากับไม่มีสัญญาให้ซึ่งสังหาริมทรัพย์และที่เกี่ยวกับการให้สังหาริมทรัพย์และทรัพย์สินซึ่งถ้าจะซื้อขายกันจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เมื่อไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 115
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าสัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะ แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นต่อสู้เป็นประเด็นไว้ ศาลก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ว่าสัญญาดังกล่าวมิใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ หากเป็นสัญญาให้ที่ไม่สมบูรณ์และเป็นโมฆะ เพราะเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับนายไพบูลย์สามีทะเลาะกันอย่างรุนแรงถึงขั้นจะหย่าขาดจากกัน เกรงว่านายไพบูลย์จะแบ่งทรัพย์สมบัติ โจทก์จึงได้แสดงเจตนาลวงสมรู้กับจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นบุตรฝาแฝดของโจทก์โอนขายที่ดินทรัพย์สิน และสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ให้แก่จำเลยทั้งสอง ซึ่งแท้จริงแล้วหามีการโอนขายกันจริงไม่ สัญญาซื้อขายเป็นโมฆะ โจทก์มีสิทธิได้รับมรดกของบิดา ได้ติดต่อกับผู้จัดการมรดกแล้ว ปรากฏว่ามีสัญญาประนีประนอม ข้อความว่า โจทก์ยอมสละสิทธิมรดกทั้งสิ้นให้แก่จำเลยทั้งสอง ซึ่งโจทก์ไม่เคยมีเจตนาสละมรดกโจทก์ลงชื่อในสัญญาประนีประนอมโดยสำคัญผิดคิดว่าเป็นใบมอบอำนาจให้จำเลยทั้งสองเป็นตัวแทนในการติดต่อกับผู้จัดการมรดก โจทก์คืนดีกับนายไพบูลย์แล้วบอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองโอนคืนที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จำเลยทั้งสองปฏิเสธจะขัดขวางโจทก์ในการที่โจทก์จะเปิดดำเนินกิจการโรงแรมเป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย ขอให้พิพากษาว่านิติกรรมซื้อขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างรวมทั้งสัญญาประนีประนอมเป็นโมฆะ ให้โอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกลับคืนมาเป็นของโจทก์ หากโอนคืนให้ไม่ได้ให้จำเลยทั้งสองใช้ราคาแทนและชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ด้วย
จำเลยทั้งสองให้การว่า ที่ดิน ทรัพย์สินและสิ่งปลูกสร้างจำเลยทั้งสองได้ซื้อจากโจทก์จริงๆ มิได้มีการแสดงเจตนาลวง โจทก์ขายเพราะโจทก์และนายไพบูลย์ค้าขายขาดทุนและมีหนี้สินมากจนไม่สามารถชำระหนี้สินได้โจทก์ยินยอมสละสิทธิรับมรดกให้กับจำเลยทั้งสองโดยหนังสือสัญญาประนีประนอมเองไม่มีการหลอกลวงหรือสำคัญผิด โรงแรมยังไม่พร้อมที่จะเปิดกิจการ แม้จะเปิดกิจการรายได้สุทธิก็ไม่เท่าที่โจทก์ฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การที่โจทก์โอนขายที่ดินทรัพย์สินอื่นให้จำเลยทั้งสองเป็นการโอนเพื่อป้องกันมิให้นายไพบูลย์สามีโจทก์เรียกร้องเอาทรัพย์สินโดยรู้เห็นเป็นใจด้วยกัน เป็นการแสดงเจตนาลวง เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๘ เอกสารหมาย ล. ๑๕ ไม่เชื่อว่าโจทก์ทำโดยสำคัญผิดและเอกสารดังกล่าวก็ไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ หากเป็นหนังสือยกทรัพย์สินให้ ไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๕ โรงแรมยังไม่เปิดดำเนินการโจทก์ไม่เสียหาย โจทก์ตีราคาทรัพย์สินพิพาทสูงเกินควรสมควรกำหนดราคาให้ ๑ ใน ๓ ตามที่โจทก์ตีราคามาในฟ้อง พิพากษาให้จำเลยทั้งสองโอนคืนที่ดินสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์ หากไม่สามารถโอนคืนให้ได้ให้ใช้ราคา ๑ ใน ๓ ของราคาที่โจทก์ตีมาตามฟ้อง หนังสือสัญญาประนีประนอมเป็นโมฆะ
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องกับศาลชั้นต้นเว้นแต่ค่าเสียหายเกี่ยวกับโรงแรมโดยศาลอุทธรณ์เห็นว่าโรงแรมเปิดดำเนินการไม่ได้เพราะจำเลยขัดขวาง โจทก์เสียหาย พิพากษาแก้ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายเดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์โอนขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้จำเลยทั้งสองโดยเจตนาลวงร่วมกัน เพื่อป้องกันมิให้นายไพบูลย์มาขอแบ่งทรัพย์ มิได้โอนขายกันจริง จำเลยทั้งสองขัดขวางโจทก์ดำเนินการโรงแรมไม่ได้ ค่าเสียหายที่ศาลอุทธรณ์กำหนดเป็นจำนวนพอสมควร และวินิจฉัยเกี่ยวกับเอกสารหมาย ล.๑๕ ว่าแม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ตามคำวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสองว่า โจทก์ทราบข้อความในสัญญา ล. ๑๕ แล้ว จึงได้ลงชื่อเป็นคู่สัญญากับจำเลยโดยสมัครใจในฐานะผู้ให้สัญญาก็ตาม แต่สัญญาดังกล่าวก็หาใช่สัญญาประนีประนอมยอมความดังที่จำเลยฎีกามาไม่ เพราะจำเลยทั้งสองมิใช่ทายาทของนายกวีในชั้นเดียวกับโจทก์ และมิได้มีข้อพิพาทกับโจทก์เกี่ยวกับทรัพย์มรดกของนายกวีในขณะทำสัญญาหรือจะมีขึ้นในภายหน้า ที่สัญญาดังกล่าวมีข้อความในข้อ ๒ ว่า “ผู้ให้สัญญายินยอมสละสิทธิในการรับมรดกซึ่งมีสังหาริมทรัพย์ อสังหาริมทรัพย์ สิทธิและประโยชน์ใดๆ อันผู้ให้สัญญามีสิทธิได้รับจากนายกวี เหวียนระวี ตามข้อ ๑ โดยผู้ให้สัญญายินยอมให้ทรัพย์มรดกดังกล่าวตกทอดได้แก่ผู้รับสัญญา” นั้น ศาลฎีกาก็เห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยในข้อนี้ว่า เป็นสัญญาให้ซึ่งสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ แต่ปรากฏว่าตามสัญญาไม่ได้มีการส่งมอบทรัพย์สินที่ให้ ทั้งไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๒๓ ถึง ๕๒๕ บังคับไว้ ย่อมไม่สมบูรณ์ เท่ากับไม่มีสัญญาให้สังหาริมทรัพย์และสัญญา ล.๑๕ ที่เกี่ยวกับการให้สังหาริมทรัพย์และทรัพย์สินซึ่งถ้าจะซื้อขายกันจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เมื่อไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๕ แม้จำเลยจะมิได้ยกประเด็นข้อนี้ขึ้นต่อสู้ ศาลก็ย่อมยกขึ้นวินิจฉัยได้ เพราะเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ (๕)
พิพากษายืน

Share