คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 225/2504

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในช่องคู่ความในฟ้องใส่ว่า วัดเป็นจำเลยที่ 1 ในคำบรรยายฟ้องมีความรวมๆ ว่าจำเลยจ้างเหมาโจทก์ โดยมิได้บรรยายว่าวัดซึ่งเป็นนิติบุคคลนั้นได้ทำสัญญาว่าจ้างโดยใครเป็นผู้แทน คำฟ้องเช่นนี้ก็ถือว่า โจทก์ได้ฟ้องวัดในสภาพนิติบุคคลให้มีความรับผิดขอบตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ด้วย และวัดก็มิได้โต้แย้งว่าวัดมิได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์ จึงไม่มีประเด็นว่าวัดไม่ต้องรับผิดเพราะมิได้เป็นคู่สัญญาแต่ประการใด
ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 32/2503

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าจ้างเหมาสร้างศาลาการเปรียญ วัดผาสุการาม จังหวัดนครปฐม ซึ่งค้างจ่ายงวดที่ ๒ พร้อมด้วยดอกเบี้ย ๒๕,๑๒๓.๑๐ บาท กับดอกเบี้ยต่อไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์ผิดสัญญา
ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยคงค้างชำระค่าจ้างงวด ๒ อี ๙,๑๔๘.๕๐ บาท โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยผิดนัดเมื่อใดจึงพิพากษาให้จำเลยให้เงินดังกล่าวกับดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ๑/๒ ต่อปี ตั้งแต่วันฟ้อง
โจทก์จำเลยอุทธรณ์
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อวินิจฉัยในเบื้องต้นมีว่า คดีนี้โจทก์ได้ฟ้องวัดให้มีความรับผิดชอบด้วยหรือไม่ โดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า โจทก์ได้ฟ้องวัดในสภาพนิติบุคคลให้มีความรับผิดตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ด้วย และวัดก็มิได้โต้แย้งว่าวัดมิได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์ จึงไม่มีประเด็นว่า วัดไม่ต้องรับผิดเพราะมิได้เป็นคู่สัญญาแต่ประการใด และฟังว่า จำเลยค้างจ่ายค่าจ้างงวดที่ ๒ จริง
ส่วนจำเลยที่ ๓ ศาลฎีกาเห็นว่า ได้ลงชื่อเป็นผู้จ้างในสัญญาเพิ่มเติมหมาย จ.๒ และที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นผู้จ้าง จำเลยที่ ๓ ก็มิได้ให้การต่อสู้ว่าจำเลยมิใช่ผู้จ้างแต่ประการใด คงต่อสู้แต่ว่าโจทก์ผิดสัญญาเท่านั้น จำเลยที่ ๓ จึงต้องรับผิดด้วย
ส่วนในข้อที่ศาลล่วงให้จำเลยเสียดอกเบี้ยตั้งแต่วันฟ้อง นั้น ก็เพราะไม่ปรากฎวันผิดนัด คำวินิจฉัยของศาลล่างในข้อนี้เป็นการถูกต้องแล้ว
ศาลฎีกาพิพากษาแก้ให้จำเลยที่ ๓ รับผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนอกจากที่แก้นี้คงให้เป็นเป็นตามคำพิพากษศาลอุทธรณ์

Share