คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 225/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การนับอายุความ 1 ปีเรื่องละเมิดตาม มาตรา448 นั้นต้องเริ่มนับแต่วันที่ผู้เสียหายทราบจากรายงานของกรรมการถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้น หาใช่นับจากวันที่รู้ว่ามีผู้ยักยอกเงินของผู้เสียหายไม่
แม้ฟ้องของโจทก์ได้กล่าวหาถึงการกระทำของจำเลยทั้งจงใจและประมาทเลินเล่อก็ดีแต่ในฟ้องก็ได้กล่าวข้อเท็จจริงโดยละเอียดแล้วเป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาทั้งข้อที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว จึงเป็นฟ้องที่ไม่เคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองเป็นกรรมการรักษาเงินของเทศบาลร่วมกับนายนิกร ได้กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อหรือฝ่าฝืนระเบียบการรักษาและการจ่ายเงิน ได้จ่ายเงินให้นายนิกรไปตามที่ขอเบิกเป็นเหตุให้นายนิกรยักยอกเงินรายนี้ไป นายนิกรได้ถูกศาลลงโทษไปแล้ว คณะกรรมการสอบสวนเห็นว่าจำเลยต้องรับผิดด้วย โจทก์จึงทราบว่าจำเลยจะต้องรับผิดติดต่อให้จำเลยชำระก็เพิกเฉย จึงขอให้บังคับจำเลยให้ใช้เงิน 41,347.60 บาท

จำเลยว่าฟ้องเคลือบคลุม จำเลยไม่ต้องรับผิดคดีขาดอายุความ

ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลย เห็นว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษา ศาลชั้นต้นให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาปรึกษาว่าปัญหาที่ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่นั้นศาลฎีกาเห็นว่าอายุความในเรื่องละเมิดนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 บัญญัติว่าขาดอายุความเมื่อพ้นปีหนึ่งนับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนจำเลยทั้งสองในคดีนี้เป็นแต่กรรมการรักษาเงินร่วมกับนายนิกรสมุห์บัญชีการที่นายนิกรสมุห์บัญชียักยอกเงินเทศบาลไปจำเลยอาจไม่ต้องรับผิดชอบในการใช้เงินให้โจทก์ก็ได้ฉะนั้นการที่โจทก์รู้ว่านายนิกรยักยอกเงินของโจทก์ไปจึงยังไม่อาจรู้ว่านอกจากนายนิกรแล้วยังจะมีใครอีกบ้างที่จะต้องใช้เงินให้โจทก์ การที่โจทก์จะรู้ได้เช่นนั้นจำต้องรู้จากข้อเท็จจริงที่กรรมการได้ตั้งขึ้นเพื่อสอบสวนเรื่องนี้รายงานให้ทราบ ฉะนั้นอายุความหนึ่งปีจึงนับแต่วันที่โจทก์ทราบจากรายงานของกรรมการ ไม่ใช่จากวันที่รู้ว่านายนิกรยักยอกเงินโจทก์ไป คดีของโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ

ส่วนปัญหาที่ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าแม้ฟ้องโจทก์จะได้กล่าวหาถึงการกระทำของจำเลยทั้งจงใจและประมาทเลินเล่อก็ดี แต่โจทก์ก็ได้กล่าวข้อเท็จจริงมาโดยละเอียดแล้วเป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ ทั้งข้อที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา จึงเป็นฟ้องที่ไม่เคลือบคลุม รับไว้พิจารณาต่อไปได้ พิพากษายืน

Share