แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 มีประเด็นที่ศาลอุทธรณ์จะต้องวินิจฉัยให้อย่างเดียวกับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 อยู่แล้วว่ามูลหนี้ละเมิดระงับหรือไม่ แม้ศาลฎีกาจะวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ที่ว่าอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225ก็ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไปฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายของโจทก์ข้อนี้จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
บันทึกที่สถานีตำรวจมีข้อตกลงว่า ฝ่ายจำเลยที่ 2 ยอมใช้ค่าเสียหายตามที่ฝ่ายโจทก์เรียกร้องทั้งสิ้นเป็นเงิน35,268.60 บาท คู่กรณีไม่ติดใจที่จะฟ้องร้องกันในทางแพ่ง อาญา ถ้าหากผิดสัญญาคู่กรณีจะฟ้องกันเองในทางแพ่ง ข้อตกลงนี้เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ
จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกจ้างจำเลยที่ 1 ทำละเมิดต่อโจทก์ แล้วจำเลยที่ 2 และผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน จึงมีผลให้มูลหนี้ละเมิดระงับสิ้นไป โจทก์จะฟ้องจำเลยทั้งสองตามมูลหนี้ละเมิดอีกไม่ได้ชอบที่จะฟ้องจำเลยที่ 2 ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ขับรถยนต์ในหน้าที่ทางการที่จ้างด้วยความประมาท ชนทรัพย์สินของโจทก์เสียหายเป็นเงิน35,268.60 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวนดังกล่าว พร้อมทั้งดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง 2,645.14 บาท รวม 37,913.74 บาท และให้เสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 35,268.60 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่ใช่ลูกจ้างผู้มีหน้าที่ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ขับรถยนต์นั้นนอกทางการที่จ้างไปชนทรัพย์สินของโจทก์เพราะเหตุสุดวิสัย ค่าเสียหายอย่างสูงไม่เกิน 3,500 บาท หลังเกิดเหตุแล้วโจทก์มอบอำนาจให้นายศิริ อนะมาน เป็นตัวแทนทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ 2 ตามบันทึกประจำวันของสถานีตำรวจนครบาลบางกอกน้อย มูลละเมิดได้เปลี่ยนเป็นหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดในมูลละเมิดอีก
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน 37,913.74 บาท แก่โจทก์และให้เสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 35,268.60 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นคดีใหม่ภายในอายุความ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่าอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ไม่กล่าวถึงรายละเอียดแห่งคำฟ้อง คำให้การ ประเด็นของคดี และเหตุผลในคำพิพากษาของศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 นั้น เห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 มีประเด็นที่ศาลอุทธรณ์จะต้องวินิจฉัยให้อย่างเดียวกับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 อยู่แล้วว่ามูลหนี้ละเมิดระงับหรือไม่ แม้ศาลฎีกาจะวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อนี้ก็ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายของโจทก์เรื่องนี้จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
โจทก์ฎีกาว่าบันทึกที่สถานีตำรวจเอกสารหมาย จ.7 ไม่ทำให้มูลหนี้ละเมิดระงับไป เห็นว่า หลังจากจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์โดยประมาทชนทรัพย์สินของโจทก์เสียหายจำเลยที่ 2 กับนายศิริ อนะมาน ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ไปตกลงกันที่สถานีตำรวจ แล้วแจ้งให้พนักงานสอบสวนทำบันทึกข้อตกลงและทั้งฝ่ายลงชื่อเป็นหลักฐาน ตามเอกสารหมาย จ.7 มีข้อตกลงว่า ฝ่ายจำเลยที่ 2 ยอมใช้ค่าเสียหายตามที่ฝ่ายโจทก์เรียกร้องทั้งสิ้นเป็นเงิน 35,268.60 บาท คู่กรณีไม่ติดใจที่จะฟ้องร้องกันในทางแพ่ง อาญา ถ้าหากผิดสัญญาคู่กรณีจะฟ้องกันเองในทางแพ่งข้อตกลงนี้เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ จึงมีผลให้หนี้ในมูลละเมิดระงับสิ้นไปโจทก์จะฟ้องจำเลยที่ 2 ตามมูลหนี้ละเมิดเดิมอีกไม่ได้ ชอบที่จะฟ้องตามสัญญาใหม่และความรับผิดของจำเลยที่ 1 ในฐานะที่เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 2 ก็ย่อมระงับสิ้นไปด้วย เพราะไม่มีหนี้ในมูลละเมิดระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 อันจำเลยที่ 1 ในฐานะนายจ้างจะต้องร่วมรับผิดด้วยต่อไป ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน