คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2245/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารมุ่งหมายถึงการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอันไม่สมควรในทางเพศ แม้การกระทำของจำเลยจะไม่เป็นความผิดฐานอนาจาร เนื่องจากผู้เสียหายยินยอม แต่ก็เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารได้ และแม้บิดามารดาของผู้เสียหายจะออกไปนอกบ้านขณะที่ผู้เสียหายออกจากบ้านและจำเลยได้พาไปที่ขนำก็ตาม ยังถือว่าผู้เสียหายอยู่ในอำนาจปกครองของบิดามารดา การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปนอนค้างคืนที่ขนำในสวนโดยผู้เสียหายเต็มใจไปด้วย แล้วจำเลยได้กอดปล้ำหอมแก้มและจับหน้าอกผู้เสียหาย ถือได้ว่าจำเลยกระทำการอันไม่สมควรทางเพศต่อผู้เสียหายจำเลยจึงมีความผิดฐานพรากผู้เสียหายไปจากบิดามารดาเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคแรก โจทก์ฟ้องว่าจำเลยพรากผู้เยาว์โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่าผู้เสียหายเต็มใจไปด้วยกับจำเลยอันเป็นกรณีตามมาตรา 319 ซึ่งมีโทษเบากว่าศาลย่อมลงโทษจำเลยตามมาตรา 319 ได้ เพราะการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารจะโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยหรือไม่ก็ตาม ประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติว่าเป็นความผิดทั้งสองกรณี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278,310, 318, 339 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2530 มาตรา 4, 7 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 14 ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน 2,300 บาท แก่ผู้เสียหายด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 319 จำคุก 2 ปี ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุดังฟ้อง จำเลยได้พาผู้เสียหายซึ่งมีอายุ 16 ปีไปนอนค้างคืนที่ขนำในสวนโดยผู้เสียหายเต็มใจไปด้วย และระหว่างอยู่ที่ขนำจำเลยได้กอดปล้ำ หอมแก้มและจับหน้าอกผู้เสียหายพิเคราะห์แล้วจำเลยฎีกาพอสรุปเป็นข้อแรกได้ว่า เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานกระทำอนาจารผู้เสียหาย จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานพรากผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 319 วรรคแรก นั้น เห็นว่าความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารมุ่งหมายถึงการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอันไม่สมควรทางเพศแม้การกระทำของจำเลยจะไม่เป็นความผิดฐานอนาจาร เนื่องจากผู้เสียหายยินยอม แต่ก็เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารได้ การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปนอนค้างคืนที่ขนำในสวนโดยผู้เสียหายเต็มใจไปด้วย แล้วจำเลยได้กอดปล้ำ หอมแก้ม และจับหน้าอกผู้เสียหายถือได้ว่าจำเลยกระทำการอันไม่สมควรทางเพศต่อผู้เสียหาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพรากผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจาร ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 319 วรรคแรก ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ฎีกาข้อถัดไปของจำเลยสรุปได้ว่า เมื่อฟังว่าผู้เสียหายเต็มใจไปกับจำเลย การกระทำของจำเลยย่อมไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 318 จะลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 ไม่ได้เพราะข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องในข้อสาระสำคัญและจำเลยหลงต่อสู้ เห็นว่า การที่จำเลยพาผู้เสียหายซึ่งมีอายุ 16 ปีไปนอนค้างคืนที่ขนำในสวนโดยผู้เสียหายเต็มใจไปด้วย และระหว่างอยู่ที่ขนำจำเลยได้กอดปล้ำหอมแก้ม และจับหน้าอกผู้เสียหาย ถือได้ว่าจำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319แม้โจทก์จะฟ้องว่าจำเลยพรากผู้เยาว์โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยตามมาตรา 318 แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าผู้เสียหายเต็มใจไปด้วยกับจำเลย อันเป็นกรณีตามมาตรา 319 ซึ่งมีโทษเบากว่า ศาลย่อมลงโทษจำเลยตามมาตรา 319 ได้เพราะการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารจะโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยหรือไม่ก็ตาม ประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติว่าเป็นความผิดทั้งสองกรณี ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ฎีกาข้อสุดท้ายของจำเลยสรุปได้ว่า ขณะที่ผู้เสียหายออกจากบ้าน บิดามารดาของผู้เสียหายไม่อยู่บ้านและไม่ได้ความว่าคนในบ้านเป็นผู้ดูแล จำเลยจึงไม่ได้พรากผู้เสียหายไปจากบิดามารดาผู้ปกครองหรือผู้ดูแลนั้น เห็นว่า แม้บิดามารดาของผู้เสียหายจะออกไปนอกบ้านขณะที่ผู้เสียหายออกจากบ้านและจำเลยได้พาไปที่ขนำก็ตามยังถือว่าผู้เสียหายอยู่ในอำนาจปกครองของบิดามารดา การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปที่ขนำ จึงเป็นการพรากผู้เสียหายไปจากบิดามารดาแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 319 โดยไม่ระบุวรรคนั้นยังไม่ชัดเจนเห็นสมควรแก้เสียให้ชัดเจน และศาลฎีกาได้พิเคราะห์ถึงโทษที่สมควรลงแก่จำเลยแล้วเห็นว่า จำเลยมีอายุเพียง 19 ปี ประกอบอาชีพเป็นช่างซ่อมวิทยุในวันเกิดเหตุจำเลยเพียงแต่กอดปล้ำ หอมแก้ม และจับหน้าอกผู้เสียหายเมื่อผู้เสียหายขอร้อง จำเลยก็ปล่อย จำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน เพื่อให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดีเห็นสมควรให้รอการลงโทษจำเลยไว้ โดยกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติของจำเลยไว้ด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา319 วรรคแรก และให้ปรับจำเลย 4,000 บาท อีกสถานหนึ่ง โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 3 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56ให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 6 เดือน จนครบกำหนดระยะเวลารอการลงโทษ ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share