คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2241/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้คำสั่งเลิกจ้างโจทก์จะมิได้ระบุความผิดและสาเหตุการเลิกจ้างไว้ก็มิได้หมายความว่า โจทก์ไม่มีความผิดหรือไม่มีสาเหตุแห่งการเลิกจ้าง เมื่อโจทก์ฟ้องว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม จำเลยก็ชอบที่จะยกเหตุแห่งการเลิกจ้างขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การได้ว่า การเลิกจ้างนั้นมาจากสาเหตุใด การที่จำเลยมิได้ระบุความผิดและอ้างระเบียบข้อบังคับไว้ในคำสั่งเลิกจ้างไม่เป็นเหตุให้การเลิกจ้างดังกล่าวเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
เงินเดือนที่นายจ้างจ่ายให้ลูกจ้างประจำรายเดือนย่อมเป็นค่าจ้างของทุกวันตลอดทั้งเดือนซึ่งรวมทั้งวันหยุดประจำสัปดาห์ด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างประจำของจำเลยได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือน ต่อมาจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม จำเลยให้การว่า โจทก์ยืมเงินจากผู้ใต้บังคับบัญชาแล้วไม่ใช้คืน เป็นการเบียดบังและทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเดือดร้อนเป็นการผิดระเบียบข้อบังคับของจำเลย จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ จำเลยจ่ายค่าชดเชยถูกต้องแล้ว ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า การที่โจทก์กระทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเดือดร้อน เบียดบังผู้ใต้บังคับบัญชา การเลิกจ้างโจทก์จึงไม่ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ถูกต้องแล้ว
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ข้อที่โจทก์อุทธรณ์ว่าตามเอกสารหนังสือเลิกจ้างหมาย จ.๑ มิได้ระบุว่าโจทก์กระทำความผิดใดต้องกับระเบียบข้อบังคับหมวดใด ข้อใดแต่ในชั้นศาลจำเลยกลับให้การว่าโจทก์กระทำผิดร้ายแรงถึงขั้นปลดออกซึ่งเป็นข้ออ้างขึ้นในภายหลังขัดกับหนังสือเลิกจ้าง การเลิกจ้างของจำเลยจึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมนั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้คำสั่งเลิกจ้างโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.๑ จะมิได้ระบุความผิดและสาเหตุแห่งการเลิกจ้างไว้ดังข้ออุทธรณ์ของโจทก์ก็ตาม ก็มิได้หมายความว่าโจทก์ไม่มีความผิด หรือไม่มีสาเหตุแห่งการเลิกจ้าง เมื่อโจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม จำเลยก็ชอบที่จะยกเหตุแห่งการเลิกจ้างขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การได้ว่า การเลิกจ้างนั้นมาจากสาเหตุใด ซึ่งในการนี้ศาลแรงงานย่อมมีอำนาจที่จะพิจารณาว่าการเลิกจ้างเป็นธรรมหรือไม่ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๙ และคดีนี้ศาลแรงงานกลางก็ได้วินิจฉัยไว้แล้วว่า สาเหตุที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์นั้น เนื่องมาจากเหตุใด ฉะนั้น การที่จำเลยมิได้ระบุความผิดและอ้างระเบียบข้อบังคับไว้ในคำสั่งเลิกจ้าง ดังอุทธรณ์ของโจทก์จึงไม่เป็นเหตุให้การเลิกจ้างดังกล่าวเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ข้อที่โจทก์อุทธรณ์ว่า ในการคิดคำนวณค่าจ้างรายเดือนลงเป็นอัตราค่าจ้างต่อวันนั้น จำเลยคิดคำนวณโดยนำอัตราค่าจ้าง๑ เดือนตั้งแล้วหารด้วย ๒๖ เพราะจำเลยถือว่าใน ๑ เดือนจะมีวันทำงานปกติประมาณ ๒๖ วัน ซึ่งกรณีของโจทก์จะคิดคำนวณค่าจ้างได้วันละ ๒๑๑.๕๔ บาทจำเลยจึงจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ขาดไปเป็นเงิน ๒,๕๓๘.๖๐ บาท นั้น พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์เป็นลูกจ้างประจำรายเดือนได้รับค่าจ้างเดือนละ ๕,๕๐๐ บาท เห็นว่าในกรณีของลูกจ้างประจำรายเดือนเงินเดือนที่นายจ้างจ่ายให้ย่อมจะเป็นค่าจ้างของทุกวันตลอดทั้งเดือนซึ่งรวมทั้งวันหยุดประจำสัปดาห์ด้วย จึงไม่จำต้องคิดคำนวณค่าจ้างว่าในเดือนหนึ่งมีวันหยุดประจำสัปดาห์กี่วัน โจทก์มีวันทำงานปกติกี่วันและได้ค่าจ้างวันละเท่าใด เพื่อนำมาคำนวณค่าชดเชยดังอุทธรณ์ของโจทก์ อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกันที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน.

Share