คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2231/2540

แหล่งที่มา : ADMIN

ย่อสั้น

การตีความสัญญาต้องตีความไปตามความประสงค์ในทางสุจริตโดยพิเคราะห์ถึงปกติประเพณีด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา368 สาเหตุที่จำเลยจำต้องปิดถนนอันเป็นมูลเหตุให้โจทก์ทั้งสี่ฟ้องร้องเป็นคดีนี้เกิดจากการที่โจทก์ทั้งสี่ขนวัสดุก่อสร้างเข้าไปปลูกสร้างบ้านและอาคารในที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ตามแผนที่ท้ายฟ้องผ่านถนนของจำเลยโดยไม่ได้จ่ายค่าตอบแทนให้แก่จำเลยและทำให้ถนนของจำเลยได้รับความเสียหายเมื่อโจทก์ทั้งสี่เสนอจะซ่อมแซมถนนและจ่ายเงินเป็นค่าตอบแทนในการใช้ถนนให้จำเลยจึงยอมทำสัญญาประนีประนอมยอมความและเปิดถนนให้โจทก์ทั้งสี่ใช้ประโยชน์ตามเดิมดังนั้นวัตถุประสงค์ของการทำสัญญาประนีประนอมยอมความก็เพื่อให้จำเลยได้รับค่าตอบแทนจากการขนวัสดุก่อสร้างผ่านถนนของจำเลยเข้าไปปลูกสร้างในที่ดินตามแผนที่ท้ายฟ้องไม่ว่าโจทก์ทั้งสี่จะดำเนินการเองหรือให้บุคคลอื่นทำก็ตามเมื่อโจทก์ทั้งสี่ได้รับประโยชน์ก็ต้องจ่ายเงินค่าตอบแทนจากการใช้ถนนให้แก่จำเลยทั้งนั้นและการที่โจทก์ทั้งสี่ขายที่ดินตามแผนที่ท้ายฟ้องให้บุคคลอื่นปลูกบ้านนั้นย่อมถือเสมือนว่าโจทก์ทั้งสี่จัดให้มีการปลูกสร้างในที่ดินตามแผนที่ท้ายฟ้องและโจทก์ทั้งสี่ก็ได้รับผลประโยชน์จากการขายที่ดินถือว่าโจทก์ทั้งสี่ได้รับประโยชน์ตามเงื่อนไขในสัญญาประนีประนอมยอมความแล้วจึงต้องจ่ายเงินค่าตอบแทนให้แก่จำเลยตามสัญญาประนีประนอมยอมความ

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนเสาไม้แก่น และห้ามจำเลยขัดขวางการใช้ถนนพิพาท และพิพากษาว่าถนนดังกล่าวเป็นถนนสาธารณประโยชน์หรือภารจำยอม ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสี่วันละ 3,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะรื้อถอนเสาไม้แก่น และค่าเสียหายจากการห้ามใช้ถนนแก่โจทก์ทั้งสี่เดือนละ 30,000 บาท จนกว่าจำเลยจะถอนการห้ามใช้ถนน จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ระหว่างไต่สวนคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การ โจทก์ทั้งสี่และจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า “ข้อ 1 โจทก์ขอ บริจาคเงินจำนวน 100,000 บาทให้กับวัดจำเลยภายในวันที่ 1 มิถุนายน 2528 กับยินยอมบริจาคเงินให้กับวัดจำเลยเกี่ยวกับการที่โจทก์ได้ทำการก่อสร้างหรือสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ในที่ของโจทก์ โดยเฉพาะตามเนื้อที่ที่ฟ้องตามแผนที่ท้ายฟ้องคดีนี้เท่านั้น อีกเป็นจำนวนเงินห้องละหรือหลังละหรือหน่วยละ 5,000 บาท ต่อเมื่อโจทก์ได้ทำการก่อสร้างเสร็จและได้ประโยชน์จากการก่อสร้างจะเป็นโดยการขาย ให้เช่า หรือให้ผู้ใดหรือนำสิ่งของทรัพย์สินใด ๆเข้าไปใช้ประโยชน์ในสิ่งก่อสร้าง ปลูกสร้างที่โจทก์ได้จัดการเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ตามโดยทันที และจะไม่อ้างเหตุบิดเบือนเกี่ยวกับการจ่ายเงินบริจาคให้กับวัดจำเลยด้วยประการใดทั้งสิ้น ข้อ 2 โจทก์ตกลงรับผิดชอบในความเสียหายเกี่ยวกับถนนพิพาทของวัดจำเลยทั้งสิ้นเกี่ยวกับการที่โจทก์จ้าง ใช้วานนำพาหนะบรรทุกสิ่งของผ่านเข้าไปในถนนพิพาทนี้ให้อยู่ในสภาพเดิมตามภาพถ่ายท้ายฟ้อง ข้อ 3 จำเลยยินยอมตามข้อ 1และข้อ 2 โดยไม่ติดใจเรียกร้องอะไรจากโจทก์อีกต่อไปและจะรับไปจัดการรื้อถอนเสาที่ปักไว้ในถนนพิพาทออกโดยเร็วและโจทก์รับว่าจะเป็นผู้ไปจัดการรื้อถอนให้เองก็ได้ด้วยค่าใช้จ่ายของโจทก์เองทั้งสิ้น ข้อ 4 หากฝ่ายใดผิดสัญญาข้อใดข้อหนึ่งดังกล่าวข้างต้นถือว่าผิดสัญญาทั้งหมด ยินยอมให้บังคับคดีได้ทันที ส่วนเงินที่โจทก์ชำระให้จำเลยไปแล้วจะเรียกคืนไม่ได้ข้อ 5 ทั้งสองฝ่ายตกลงให้ค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากที่ศาลไม่สั่งคืนกับค่าทนายความให้เป็นพับ” ศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว
ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของโจทก์ทั้งสี่ อ้างว่าโจทก์ทั้งสี่ชำระเงิน 100,000 บาท ให้จำเลยแล้วโจทก์ทั้งสี่ปลูกสร้างอาคารในที่ดินของโจทก์ทั้งสี่รวม 73 หลัง แต่ชำระเงินให้จำเลยเพียง 36 หลัง เป็นเงิน 180,000 บาท โจทก์ทั้งสี่ต้องชำระเงินให้จำเลยตามสัญญาประนีประนอมยอมความอีก 185,000 บาท
โจทก์ทั้งสี่ยื่นคำร้องคัดค้านว่า โจทก์ทั้งสี่ขายเฉพาะที่ดินโดยไม่มีสิ่งปลูกสร้างดังที่ระบุไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ จึงไม่ต้องรับผิด ขอให้ถอนการบังคับคดี
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า การที่โจทก์ทั้งสี่ขายที่ดินตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้บุคคลอื่นปลูกสร้างอาคารรวม 37 หลัง ถือว่าโจทก์ทั้งสี่ได้รับประโยชน์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความครบถ้วนแล้ว ฉะนั้น โจทก์ทั้งสี่จึงมีหน้าที่ต้องชำระเงินตอบแทน ให้ดำเนินการบังคับคดีต่อไป
โจทก์ ทั้ง สี่ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ ทั้ง สี่ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาวินิจฉัยมีว่าการที่โจทก์ทั้งสี่ไม่ได้ทำการปลูกสร้างอาคารเอง แต่ได้ขายที่ดินของตนตามแผนที่ท้ายฟ้องให้บุคคลภายนอกปลูกสร้างอาคารเช่นนี้ โจทก์ทั้งสี่จะต้องเสียค่าตอบแทนให้แก่จำเลยตามสัญญาประนีประนอมยอมความด้วยหรือไม่ โจทก์ทั้งสี่ฎีกาว่า โจทก์ทั้งสี่จะต้องชำระเงินให้แก่จำเลยตามสัญญาประนีประนอมยอมความก็ต่อเมื่อโจทก์ทั้งสี่ได้ทำการก่อสร้างเสร็จ และได้ประโยชน์จากการก่อสร้างจะเป็นโดยการขาย ให้เช่า หรือให้ผู้ใดหรือนำสิ่งของทรัพย์สินใด ๆ เข้าไปใช้ประโยชน์ในสิ่งก่อสร้าง ปลูกสร้างที่โจทก์ได้จัดการเรียบร้อยแล้วเท่านั้น สัญญาประนีประนอมยอมความไม่ได้ระบุว่า หากโจทก์ทั้งสี่ขายที่ดินให้บุคคลอื่นปลูกสร้างอาคารแล้วก็จะต้องเสียเงินให้จำเลยตามสัญญาประนีประนอมด้วยดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัย เห็นว่า การตีความสัญญาต้องตีความไปตามความประสงค์ในทางสุจริตโดยพิเคราะห์ถึงปกติประเพณีด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 368 ซึ่งเมื่อพิเคราะห์ถึงสาเหตุที่จำเลยจำต้องปิดถนนอันเป็นมูลเหตุให้โจทก์ทั้งสี่ฟ้องร้องเป็นคดีนี้แล้ว สาเหตุเกิดจากการที่โจทก์ทั้งสี่ขนวัสดุก่อสร้างเข้าไปปลูกสร้างบ้านและอาคารในที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ตามแผนที่ท้ายฟ้องผ่านถนนของจำเลยโดยไม่ได้จ่ายค่าตอบแทนให้แก่จำเลย และทำให้ถนนของจำเลยได้รับความเสียหาย เมื่อโจทก์ทั้งสี่เสนอจะซ่อมแซมถนนและจ่ายเงินเป็นค่าตอบแทนในการใช้ถนนให้ จำเลยจึงยอมทำสัญญาประนีประนอมยอมความ และเปิดถนนให้โจทก์ทั้งสี่ใช้ประโยชน์ตามเดิม ดังนั้น วัตถุประสงค์ของการทำสัญญาประนีประนอมยอมความก็เพื่อให้จำเลยได้รับค่าตอบแทนจากการขนวัสดุก่อสร้างผ่านถนนของจำเลยเข้าไปปลูกสร้างในที่ดินตามแผนที่ท้ายฟ้อง ไม่ว่าโจทก์ทั้งสี่จะดำเนินการเองหรือให้บุคคลอื่นทำก็ตาม เมื่อโจทก์ทั้งสี่ได้รับประโยชน์ก็ต้องจ่ายเงินค่าตอบแทนจากการใช้ถนนให้แก่จำเลยทั้งนั้น เพราะว่าบุคคลอื่นที่สร้างบ้านหรืออาคารในที่ดินที่ซื้อไปจากโจทก์ทั้งสี่ก็ต้องขนวัสดุก่อสร้างผ่านถนนของจำเลยโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ทั้งสี่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งก็ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ถนนของจำเลย เช่นกันจึงต้องตีความว่า การที่โจทก์ทั้งสี่ขายที่ดินตามแผนที่ท้ายฟ้องให้บุคคลอื่นปลูกบ้านนั้น ย่อมถือเสมือนว่าโจทก์ทั้งสี่จัดให้มีการปลูกสร้างในที่ดินตามแผนที่ท้ายฟ้อง เพราะหากโจทก์ทั้งสี่ไม่ขายที่ดินแล้วบุคคลอื่นก็ไม่มีสิทธิจะเข้าไปปลูกสร้างบ้านในที่ดินดังกล่าวได้ และโจทก์ทั้งสี่ก็ได้รับผลประโยชน์จากการขายที่ดิน ถือว่าโจทก์ทั้งสี่ได้รับประโยชน์ตามเงื่อนไขในสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว จึงต้องจ่ายเงินค่าตอบแทนให้แก่จำเลยตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
พิพากษายืน

Share