คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1124/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์และจำเลยแถลงต่อศาลชั้นต้นขอให้สั่งพนักงานเจ้าหน้าที่ไปรังวัดทำแผนที่พิพาทหากพนักงานเจ้าหน้าที่ทำแผนที่พิพาทแล้วปรากฏว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินโฉนดเลขที่8049หรือนอกเขตที่ดินโฉนดเลขที่8033แล้วโจทก์ยอมแพ้แต่ถ้าหากที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินโฉนดเลขที่8033แล้วจำเลยยอมแพ้โดยคู่ความทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจสืบพยานหลักฐานต่อไปต่อมาเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ทำแผนที่พิพาทเสร็จแล้วไม่สามารถให้ความเห็นได้ว่าที่พิพาทจะอยู่ในเขตโฉนดที่ดินแปลงใดเนื่องจากไม่สามารถรังวัดปูโฉนดได้เพราะที่ดินตามโฉนดเดิมไม่มีระวางโยงยึดและหมุดหลักที่แน่นอนจึงยังถือไม่ได้ว่าพนักงานเจ้าหน้าที่มีความเห็นว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดของฝ่ายใดศาลจึงยังไม่อาจวินิจฉัยชี้ขาดคดีให้เป็นไปตามคำท้าของโจทก์และจำเลยได้ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นตรวจดูแผนที่พิพาทและระวางแผนที่อีกครั้งหนึ่งแล้วเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้วให้งดชี้สองสถานแล้วพิพากษาโดยนำตำแหน่งของที่พิพาทมาเปรียบเทียบกับระวางแผนที่แล้ววินิจฉัยว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินโฉนดเลขที่8033ให้จำเลยแพ้คดีตามคำท้าจึงเป็นการไม่ชอบเพราะไม่ตรงตามคำท้าของโจทก์และจำเลยที่ตกลงกันกรณีเช่นนี้ถือได้ว่าคำท้าของโจทก์จำเลยย่อมเป็นอันตกไปศาลชั้นต้นชอบที่จะดำเนินการชี้สองสถานหากจำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงก็ต้องดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินโฉนดเลขที่8033 ตำบลหนองขนาน อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี
จำเลยให้การว่า มารดาจำเลยและเจ้าของเดิมได้ครอบครองที่ดินดังกล่าว โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลากว่า 10 ปี จำเลยย่อมได้รับกรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครอง ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาคู่ความตกลงท้ากันว่า หากพนักงานเจ้าหน้าที่ไปรังวัดทำแผนที่พิพาทแล้ว ปรากฏว่าหรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีความเห็นว่า ที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 8049ตำบลหนองขนาน อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี หรืออยู่นอกเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 8033 ตำบลหนองขนาน อำเภอเมืองเพชรบุรีจังหวัดเพชรบุรี แล้ว โจทก์ยอมแพ้ แต่ถ้าหากปรากฏว่าหรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีความเห็นว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินโฉนดเลขที่8033 ตำบลหนองขนาน อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรีแล้วจำเลยยอมแพ้ โดยคู่ความไม่ติดใจสืบพยานหลักฐานอื่น หลังจากพนักงานเจ้าหน้าที่รังวัดทำแผนที่พิพาทแล้ว ปรากฏว่าเมื่อนำตำแหน่งของที่พิพาทตามแนวเส้นสีดำหมายสีม่วงของแผนที่พิพาทมาเปรียบเทียบกับระวางแผนที่แล้วปรากฏว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 8033จำเลยจึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดีตามคำท้า
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินโจทก์โฉนดเลขที่ 8033 ตำบลหนองขนาน อำเภอเมืองเพชรบุรีจังหวัดเพชรบุรี ตามแนวเส้นสีดำหมายสีม่วง
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์และจำเลยแถลงต่อศาลชั้นต้นขอให้สั่งพนักงานเจ้าหน้าที่ไปรังวัดทำแผนที่พิพาท หากพนักงานเจ้าหน้าที่ทำแผนที่พิพาทแล้วปรากฏว่าหรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีความเห็นว่า ที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 8049 ตำบลหนองขนาน อำเภอเมืองเพชรบุรีจังหวัดเพชรบุรี หรืออยู่นอกเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 8033ตำบลหนองขนาน อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรีแล้วโจทก์ยอมแพ้ แต่ถ้าหากปรากฏว่าหรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีความเห็นว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 8033ตำบลหนองขนาน อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรีแล้วจำเลยยอมแพ้ โดยคู่ความทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจสืบพยานหลักฐานกันต่อไป และยอมออกค่าใช้จ่ายในการรังวัดทำแผนที่พิพาทกันคนละครึ่ง ต่อมาเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ทำแผนที่พิพาทเสร็จแล้วปรากฏว่า พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รังวัดทำแผนที่พิพาทได้แถลงต่อศาลชั้นต้นว่า ไม่สามารถให้ความเห็นได้ว่าที่พิพาทจะอยู่ในเขตโฉนดที่ดินแปลงใดเนื่องจากไม่สามารถรังวัดปูโฉนดได้เพราะที่ดินตามโฉนดเดิมไม่มีระวางโยงยึดและหมุดหลักที่แน่นอนเมื่อเป็นเช่นนี้ศาลชั้นต้นจึงเลื่อนคดีไปชี้สองสถาน ถึงวันนัดชี้สองสถานศาลชั้นต้นตรวจดูแผนที่พิพาทและระวางแผนที่อีกครั้งหนึ่งแล้วมีความเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ จึงให้งดชี้สองสถานแล้วพิพากษาโดยนำตำแหน่งของที่พิพาทตามแนวเส้นสีดำหมายสีม่วงของแผนที่พิพาทมาเปรียบเทียบกับระวางแผนที่วินิจฉัยว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 8033 จำเลยจึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดีตามคำท้า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความหรือไม่ โจทก์อ้างว่า ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาชอบด้วยกฎหมายแล้วศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่ชอบที่จะยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี เห็นว่า เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รังวัดทำแผนที่พิพาทได้ตรวจแผนที่พิพาทกับระวางที่ดินตามรูปโฉนดเดิมแล้วแถลงต่อศาลชั้นต้นว่าไม่สามารถให้ความเห็นได้ว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดที่ดินแปลงใดแน่ เนื่องจากไม่สามารถรังวัดปูโฉนดได้ เพราะที่ดินตามโฉนดเดิมไม่มีระวางโยงยึดและหมุดหลักที่แน่นอน ดังนี้จึงยังถือไม่ได้ว่า ปรากฏว่าหรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีความเห็นว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดของฝ่ายใดตามที่โจทก์และจำเลยตกลงท้ากัน ศาลจึงยังไม่อาจวินิจฉัยชี้ขาดคดีให้เป็นไปตามคำท้าของโจทก์และจำเลยดังกล่าวข้างต้นได้ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแพ้คดีตามคำท้าจึงไม่ชอบเพราะไม่ตรงตามคำท้าของโจทก์และจำเลยที่ตรงกัน กรณีเช่นนี้ถือได้ว่าคำท้าของโจทก์จำเลยย่อมเป็นอันตกไป ศาลชั้นต้นชอบที่จะดำเนินการชี้สองสถาน หากจำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงก็ต้องดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ชอบแล้วฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share