คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2220/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อข้อเท็จจริงตามคำร้องปรากฏว่าทรัพย์ที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทั้ง 7 รายการเป็นของจำเลย จำเลยเพียงแต่นำมาเป็นประกันเงินกู้ที่จำเลยกู้ยืมไปจากผู้ร้องเท่านั้น โจทก์จึงมีสิทธิยึดทรัพย์ดังกล่าวของจำเลยออกขายทอดตลาดเพื่อนำมาชำระหนี้โจทก์ได้ ผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขอ ให้ปล่อยทรัพย์ที่โจทก์นำยึด

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ จำเลยไม่ชำระหนี้ โจทก์ขอให้บังคับคดีโดยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยรวม 7 รายการเพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ทรัพย์ที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทั้ง 7รายการเป็นของจำเลย จำเลยนำมามอบให้แก่ผู้ร้องเพื่อเป็นประกันหนี้เงินกู้ที่จำเลยกู้ยืมเงินผู้ร้องไป ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า คดีมีประเด็นที่จะวินิจฉัยว่าผู้ร้องมีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่โจทก์นำยึดหรือไม่พิเคราะห์แล้ว ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 วรรคแรกบัญญัติว่า “ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งมาตรา 55 ถ้าบุคคลใดกล่าวอ้างว่าจำเลยหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ใช่เจ้าของทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้ ก่อนที่จะเอาทรัพย์สินเช่นว่านี้ออกขายทอดตลาดหรือจำหน่ายโดยวิธีอื่น บุคคลนั้นอาจยื่นคำร้องขอต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีให้ปล่อยทรัพย์สินเช่นว่านั้น ฯลฯ” และมาตรา 55 บัญญัติว่า “เมื่อมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดตามกฎหมายแพ่ง หรือบุคคลใดจะต้องใช้สิทธิทางศาลบุคคลนั้นชอบที่จะเสนอคดีของตนต่อศาลส่วนแพ่งที่มีเขตอำนาจได้ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายแพ่งและประมวลกฎหมายนี้” เห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริงตามคำร้องปรากฏว่าทรัพย์ที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทั้ง 7 รายการ เป็นของจำเลย จำเลยเพียงแต่นำมาเป็นประกันเงินกู้ที่จำเลยกู้ยืมเงินไปจากผู้ร้องเท่านั้น โจทก์จึงมีสิทธิยึดทรัพย์ดังกล่าวของจำเลยออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ได้ ผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่โจทก์นำยึด
พิพากษายืน

Share