แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีแดงที่ 3813-3814/2534
ก่อนคดีนี้จำเลยเคยยื่นคำร้องขอต่อศาลให้มีคำสั่งว่าจำเลยครอบครองที่พิพาทโดยปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์ ต่อมาโจทก์คดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยคดีนี้เป็นจำเลยในคดีอาญาฐานเบิกความเท็จในคดีแพ่งดังกล่าว การจะพิจารณาว่าคดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังกล่าวหรือไม่นั้นจะต้องปรากฏว่าความรับผิดในทางแพ่งในคดีนี้เกิดขึ้นจากผลของการกระทำผิดอาญาโดยตรง ที่จำเลยเป็นพยานเบิกความเท็จในคดีแพ่งไม่ก่อให้เกิดผลโดยตรงที่ทำให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทเหตุที่ทำให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ในคดีแพ่งดังกล่าวเพราะศาลฟังว่าจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทต่อมาจนได้กรรมสิทธิ์ คดีนี้จึงไม่เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายหรือทรัพย์สินหรือราคาที่สูญหายไปเนื่องจากการกระทำผิดอาญา ไม่ทำให้คดีนี้กลายเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา (วรรคนี้วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่)
ที่จำเลยฎีกาว่าศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยเป็นฝ่ายนำสืบก่อนเป็นการไม่ชอบนั้น การกำหนดภาระการพิสูจน์และหน้าที่นำสืบ ศาลชั้นต้นมีอำนาจทีจะกำหนดให้คู่ความฝ่ายใดนำสืบก่อนก็ได้ การกำหนดภาระการพิสูจน์ในคดีนี้ไม่ได้ถือเอาเหตุที่จำเลยมีภาระการพิสูจน์มาวินิจฉัยให้จำเลยแพ้คดี การที่จำเลยมีภาระการพิสูจน์หรือไม่มีผลเปลี่ยนแปลงผลแห่งคดี ฎีกาของจำเลยจึงไม่เป็นสาระแก่คดี ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานจำเลยโดยทนายจำเลยลงชื่อทราบนัดในรายงานกระบวนพิจารณานัดสืบพยานดังกล่าว ครั้งถึงวันนัดทนายจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอ้างว่าติดรังวัดทำแผนที่พิพาทในคดีอื่น เป็นการไม่รับผิดชอบในวันนัดของตนที่ได้นัดไว้กับศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีโดยให้สืบพยานจำเลยไปโดยไม่มีทนายจำเลยซักถาม จึงไม่ใช่การดำเนินกระบวนพิจารณาที่มิชอบด้วยกฎหมายและผิดระเบียบ ส่วนที่ในวันนัดสืบพยานโจทก์นัดที่สองซึ่งนัดสืบพยานโจทก์เวลา 8.30 นาฬิกา แต่โจทก์มาศาลเมื่อเวลา 11.45นาฬิกา โดยโจทก์ได้แจ้งให้ศาลทราบทางโทรศัพท์ก่อนหน้านั้นแล้วว่ารถเสียระหว่างเดินทางมาศาล การที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจเลื่อนการสืบพยานโจทก์ดังกล่าวไปเป็นตอนบ่ายโดยไม่ยอมให้โจทก์เลื่อนคดีไปนั้น เป็นการดำนินกระบวนพิจารณาที่ให้ความเป็นธรรมแก่โจทก์และจำเลยโดยชอบ มิใช่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยผิดระเบียบ
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้แก่โจทก์ เป็นคดีฟ้องเรียกอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (1) ถ้าศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี เมื่อศาลเห็นสมควร ศาลจะมีคำสั่งให้ขับไล่จำเลยก็ได้ คำสั่งเช่นว่านี้ให้ใช้บังคับตลอดถึงวงศ์ญาติทั้งหลายและบริวารของจำเลยที่อยู่บนอสังหาริมทรัพย์นั้นด้วย เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้โจทก์ชนะคดี ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจพิพากษาเกินคำขอตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (1) และ 246 ให้จำเลยรื้อถอนบ้านออกไป ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาท อันเป็นการขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่พิพาทได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรและผู้จัดการมรดกของนายยังและนางเนื่อง อ่วมสำอางค์ ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๗๒ ตำบลชะอำ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี เนื้อที่ ๑๙ ไร่ ๒๐ ตารางวา เป็นทรัพย์มรดกของนายยัง นางเนื่อง เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๗ จำเลยได้เบิกความเท็จในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่๒๓/๒๕๒๗ ของศาลชั้นต้น ว่า นางเนื่องได้ยกที่ดินแปลงดังกล่าวบางส่วนทางด้านทิศเหนือ เนื้อที่ประมาณ ๕ ไร่ ให้แก่จำเลย จำเลยได้ครอบครองด้วยความสงบเปิดเผย และเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลา ๒๐ ปี แล้ว ซึ่งเป็นความเท็จ ความจริงแล้วนางเนื่องไม่เคยกที่ดินดังกล่าวให้จำเลย นางเนื่องได้ให้ผู้อื่นทำกินส่วนหนึ่งและให้จำเลยเช่าทำนาอีกส่วนหนึ่ง จำเลยเพิ่งเข้ามาอาศัยผู้อื่นนั้นปลูกโรงเล็ก ๆในที่ดินของนายยัง นางเนื่องเมื่อประมาณ ๘ ปี ก่อนฟ้อง เนื้อที่ ๑๐๐ ตารางวาและเมื่อ ๕ – ๖ ปี ก่อนฟ้อง จำเลยได้สร้างรั้วไม้ขัดแตะทางด้านทิศเหนือเพียงด้านเดียวยาว ๑๐ ว่า และเมื่อ ๓ – ๔ ปี ก่อนฟ้อง จำเลยได้ถมดินทางด้านทิศตะวันออก และปลูกโรงเพิ่มขึ้นอีก ต่อมาใน พ.ศ.๒๕๒๖ จำเลยจึงได้ล้อมรั้วทั้งสี่ด้านโดยขยายเนื้อที่ออกไปประมาณ ๒ ไร่ จากการเบิกความเท็จของจำเลยดังกล่าวทำให้ศาลชั้นต้นหลงเชื่อมีคำสั่งให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวโดยการครอบครองเนื้อที่ประมาณ ๕ ไร่ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๗๒ ตำบลชะอำ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรีเนื้อที่ประมาณ ๕ ไร่ แก่โจทก์ ถ้าไม่ยอมโอนให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย หากจำเลยไม่สามารถโอนที่ดินดังกล่าวคืนแก่โจทก์ได้ ให้จำเลยชดใช้ราคาที่ดินแก่โจทก์เป็นเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเงินเสร็จ
จำเลยให้การว่า เมื่อประมาณ ๒๐ ปี ก่อนยื่นคำให้การ นายยังนางเนื่อง ได้ยกที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๗๒ ตำบลชะอำ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรีของนายยัง นางเนื่อง ด้านทิศเหนือเนื้อที่ ๕ ไร่ ให้จำเลยซึ่งขณะนั้นที่ดินมีสภาพเป็นป่า จำเลยได้หักร้างถางป่าครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวโดยความสงบ เปิดเผยและเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลาเกิน ๑๐ ปี แล้ว ไม่มีผู้ใดคัดค้าน เมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๒๗ จำเลยได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่าได้ครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวจนได้กรรมสิทธิ์แล้ว ศาลมีคำสั่งว่าที่ดินแปลงดังกล่าวเนื้อที่ประมาณ๕ ไร่ เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๗๒ ตำบลชะอำ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี เนื้อที่ ๕ ไร่ แก่โจทก์ ถ้าไม่โอนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย หากไม่สามารถโอนได้ให้ใช้ราคา๕๐๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งและคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีในชั้นอุทธรณ์อย่างคนอนาถาศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยรื้อถอนบ้านของจำเลยซึ่งปลูกอยู่ในที่พิพาทและขนย้ายออกไปจากที่พิพาทพร้อมบริวาร ห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้องกับที่พิพาทอีกต่อไป นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ระหว่างรอส่งสำนวนสู่ศาลฎีกา เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเพชรบุรีมีหนังสือถึงศาลชั้นต้นว่า จำเลยได้ยื่นคำร้องขอรังวัดแบ่งที่พิพาทตามคำสั่งศาลชั้นต้นตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๒๓/๒๕๒๗ โจทก์คัดค้านว่า ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านของจำเลยออกจากที่พิพาท จำเลยยืนยันให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการรังวัดต่อไปโดยอ้างว่าคดีนี้ยังไม่ถึงที่สุด ขอทราบว่าคดีนี้ถึงที่สุดหรือยัง และจะดำเนินการตามคำขอของจำเลยได้หรือไม่ ศาลชั้นต้นคำสั่งลงวันที่ ๑๒ มีนาคม๒๕๓๓ ว่าคดีนี้ยังไม่ถึงที่สุดอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ในระหว่างนี้ให้งดการดำเนินการตามคำขอของจำเลยไว้ก่อนจนกว่าศาลฎีกาจะมีคำพิพากษา จำเลยยื่นคำแถลงขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเพชรบุรี ดำเนินการตามคำขอของจำเลยต่อไป ศาลชั้นต้นมีคำสั่งลงวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๓๓ ยกคำแถลง
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นทั้งสองคำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดการดำเนินการรังวัดที่พิพาท ให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการรังวัดตามคำขอของจำเลย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏว่าคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๙๙๕/๒๕๒๘โจทก์คดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยคดีนี้เป็นจำเลยขอให้ลงโทษฐานเบิกความเท็จในคดีแพ่ง ที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทคดีนี้โดยปรปักษ์ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๗๗ จำคุก ๑ ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นลงโทษปรับและรอการลงโทษคดีถึงที่สุดในชั้นศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาโดยมติที่ปราะชุมใหญ่เห็นว่า การพิจารณาว่าคดีนี้จะเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๙๙๕/๒๕๒๘ หรือไม่ จะต้องปรากฏว่าความรับผิดในทางแพ่งในคดีนี้เกิดขึ้นเนื่องจากผลของการกระทำผิดอาญาโดยตรง ที่จำเลยเบิกความเท็จในการเบิกความเป็นพยานในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่๒๓/๒๕๒๗ ไม่ก่อให้เกิดผลโดยตรงที่ทำให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทในคดีนี้ เหตุที่ทำให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๒๓/๒๕๒๗เพราะศาลฟังว่าจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทต่อมาจนได้กรรมสิทธิ์ กรณีจึงไม่เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายหรือทรัพย์สินหรือราคาที่สูญหายไปเนื่องจากการกระทำผิดอาญา จึงไม่ทำให้คดีนี้กลายเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๙๙๕/๒๕๒๘ ของศาลชั้นต้น ไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา
ส่วนประเด็นข้อพิพาทว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือของจำเลยวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์
ที่จำเลยฎีกาเกี่ยวกับคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นนั้นเห็นว่า การกำหนดภาระการพิสูจน์และหน้าที่นำสืบนั้น ศาลชั้นต้นมีอำนาจที่จะกำหนดให้คู่ความฝ่ายใดนำสืบก่อนก็ได้ การกำหนดภาระการพิสูจน์ในคดีนี้ ก็ไม่ได้ถือเอาเหตุที่จำเลยมีภาระการพิสูจน์มาวินิจฉัยให้จำเลยแพ้คดี การที่จำเลยมีภาระการพิสูจน์หรือไม่ ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงผลแห่งคดี ฎีกาข้อนี้ของจำเลยจึงไม่เป็นสาระแก่คดี ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้ สำหรับคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีนั้น ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นว่าศาลนัดสืบพยานจำเลยวันที่ ๒๖ กันยายน และ ๙ ตุลาคม ศกนี้เวลา ๙.๐๐ นาฬิกา ทนายจำเลยได้ลงชื่อทราบนัดในรายงานดังกล่าว แต่เมื่อถึงวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๒๘ ทนายจำเลยกลับยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอ้างว่าติดรังวัดทำแผนที่พิพาทในคดีอื่น เป็นการไม่รับผิดชอบในวันนัดของตนที่ได้นัดไว้กับศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีชอบแล้วการที่ศาลชั้นต้นสั่งสืบให้พยานจำเลยไปโดยไม่มีทนายจำเลยมาซักถาม จึงไม่ใช่การดำเนินกระบวนพิจารณาที่มิชอบด้วยกฎหมายและผิดระเบียบตามี่จำเลยฎีกาส่วนการที่โจทก์มาศาลล่าช้าในวันสืบพยานโจทก์นัดที่สองนั้น ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นว่า โจทก์มาศาลเมื่อเวลา ๑๑.๔๕ นาฬิกา ซึ่งนัดสืบพยานโจทก์ไว้เวลา ๘.๓๐ นาฬิกา การที่โจทก์มาศาลล่าช้า โจทก์ได้แจ้งให้ศาลทราบทางโทรศัพท์ก่อนศาลออกนั่งพิจารณาและก่อนจำเลยยื่นคำร้องแล้วว่ารถเสียระหว่างเดินทาง เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจใช้ดุลพินิจเลื่อนเวลาสืบพยานโจทก์ออกไปได้ การสืบพยานนัดนั้นก็มิใช่เป็นการสืบพยานนัดแรก จึงไม่อาจถือได้ว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณา การสั่งให้สืบพยานโจทก์ในตอนบ่ายของศาลชั้นโดยไม่ยอมให้โจทก์เลื่อนคดีไปนั้น เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ให้ความเป็นธรรมแก่โจทก์และจำเลยโดยชอบแล้ว มิใช่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยผิดระเบียบตามที่จำเลยฎีกา ฎีกาของจำเลยที่ว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาเกินคำขอเพราะโจทก์ฟ้องจำเลยในฐานละเมิดเรียกค่าเสียหายและตามคำขอท้ายฟ้องมิได้ขอให้ขับไล่หรือรื้อถอนบ้าน ศาลอุทธรณ์กลับมีคำพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านของจำเลยซึ่งปลูกในที่ พิพาทและขนย้ายออกไปจากที่ดิพาทพร้อมบริวาร ห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้องกับที่พิพาทอีกต่อไป โดยหยิบยกอาประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ (๑) และ ๒๔๖ขึ้นวินิจฉัยนั้น วินิจฉัยว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ จึงเป็นคดีฟ้องเรียกอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ (๑) ถ้าศาลพิพากษาให้โจกท์ชนะคดี เมื่อศาลเห็นสมควร ศาลจะมีคำสั่งให้ขับไล่จำเลยก็ได้ คำสั่งเช่นว่านี้ให้ใช้บังคับตลอดถึงวงศ์ญาติทั้งหลายและบริวารของจำเลยที่อยู่บนอสังหาริมทรัพย์นั้นด้วย เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้โจทก์ชนะคดี ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจพิพากษาเกินคำขอตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ (๑) และ ๒๔๖ ให้จำเลยรื้อถอนบ้านออกไปและห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาทต่อไปอันเป็นการขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่พิพาทได้
ฎีกาของจำเลยที่คัดค้าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ลงวันที่๕ กันยายน ๒๕๓๓ ที่พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นให้งดการดำเนินการตามคำขอของจำเลยไว้จนกว่าศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าวก็ไม่จำเป็นที่ศาลฎีกาจะต้องวินิจฉัยให้เช่นกัน การที่ศาลมีคำสั่งศาลไปขอจดทะเบียนให้จำเลยมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินได้ ที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยโอนที่พิพาทคืนให้โจทก์ก็เท่ากับขอให้ที่พิพาทมีชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดไม่ให้มีชื่อจำเลย เมื่อจำเลยยังไม่ได้จดทะเบียนให้จำเลยมีชื่อในโฉนดที่ดินส่วนที่พิพาทก็ควรจะพิพากษาห้ามมิให้จำเลยนำคำสั่งของศาลดังกล่าวไปจดทะเบียนลงชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทอีกต่อไป
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ลงวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน๒๕๓๒ เป็นว่า ที่พิพาที่ศาลชั้นต้นสั่งในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๒๓/๒๕๒๗ ของศาลชั้นต้นว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ นั้น เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ห้ามจำเลยนำคำพิพากษาดังกล่าวไปเปลี่ยนแปลงทางทะเบียน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์และพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ลงวันที่๕ กันยายน ๒๕๓๓ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาทั้งสองคดีให้เป็นพับ.