แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บิลปลอมที่เจ้าพนักงานใช้เปนหลักฐานเพื่อเบิกเงินจากรัฐบาลนั้น เปนหนังสือสำคัญธรรมดา หาใช่หนังสือสำคัญในราชการไม่ เจ้าพนักงานเอาบิลปลอมซึ่งตนรู้อยู่แล้วมาตั้งฎีกาเบิกเงินตามบิลนั้น มีผิดฐานปลอมหนังสือ ตั้งฎีกาเบิกเงินตามบิลปลอมแล้วส่งให้ผู้บังคับบัญชาเซ็นเพื่อนำไปเบิกเงินจากคลัง แต่ผู้บังคับบัญชาจับได้เสียก่อนดังนี้ ยังไม่เปนพยายามฉ้อโกง
ย่อยาว
ได้ความว่าจำเลยเปนสมุหบัญชีกรมสาธารณะสุขที่ทำฎีกเบิกเงินไปให้ผู้รักษาราชการแทนอธิบดีลงนามเพื่อเบิกเงินจากกระทรวงพระคลัง แต่ผู้รักษาราชการแทนอธิบดีสงสัยจึงไต่สวน ปรากฏว่าบิลฉะบับหนึ่งเปนบิลของห้าง ส.มีจำนวนเงินที่โอสถศาลาซื้อเครื่องเวชภัณฑ์ราคา ๖๗๘๓ บาทเศษ มีลายเซ็นผู้อำนวยการโอสถศาลาสั่งให้ตั้งเบิก แต่ความจริงผู้อำนวยการโอสถศาลาหาได้สั่งและเซ็นขื่อในบิลนั้นไม่ บิลนั้นเปนบิลปลอมซึ่งจำเลยรู้อยู่แล้วดังนี้
ศาลเดิมตัดสินว่าคดีต้องด้วย ม.๒๒๗ จำเลยมีผิด ๒ กะทง คือ ฐานปลอมหนังสือสำคัญในรากขารตาม ม.๒๒๕ กะทงหนึ่ง ให้จำคุก ๓ ปี และฐานพยายามฉ้อตาม ม.๓๐๔ – ๖๐ อีกกะทงหนึ่ง ให้จำคุก ๑ ปี
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าบิลปลอมที่จำเลยใช้เปนเพียงหนังสือสำคัญ ไม่ใช่หนังสือสำคัญในราขการจึงตัดสินแก้ให้วางบทลงโทษจำเลยตาม ม.๒๒๕ ส่วนกำหนดโทษและนอกจากนี้ยืนตาม
จำเลยฎีกาเปนปัญหากฎหมาย และเถียงว่ารูปคดีไม่เปนพยายามฉ้อโกง
ศาลฎีกาเห็นว่าในปัญหาเรื่องพยายามฉ้อโกงนั้นจำเลยยังหาได้นำบิลไปส่งแก่เจ้าพนักงานคลังไม่จึงเปนแต่เพียงจำเลยเตรียมการเพื่อจะฉ้อ ไม่ถึงชั้นพยายามกระทำผิดตาม ม.๖๐ จึงตัดสินแก้ศาลอุทธรณ์ให้ลงโทษจำเลยกะทงเดียวตาม ม.๒๒๔ มีกำหนดจำคุก ๓ ปี