คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 222/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อโจทก์รู้ถึงการที่จำเลยที่ 1 เอาที่ดินที่จำเลยที่ 1 ตกลงจะขายให้โจทก์โดยโจทก์ได้ชำระราคาบางส่วนและจำเลยได้ยอมให้โจทก์เข้าครอบครองที่นั้นแล้วไปจำนองจำเลยที่ 3 เป็นต้นเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอนการฉ้อฉลแล้ว แต่มิได้ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมจำนองนั้นภายใน 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์ได้รู้ คดีโจทก์จึงขาดอายุความฟ้องร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 240
แม้หัวหน้าคณะปฏิวัติจะมีคำสั่งให้รัฐมีอำนาจจัดการทรัพย์สินทั้งหมดของจำเลยที่ 1 และให้ผู้มีสิทธิภารผูกพันกับที่ดินจากจำเลยที่ 1 ยื่นหลักฐานเรียกร้องที่ดินของจำเลยที่ 1 ต่อกรมที่ดินได้แต่เมื่อคำสั่งนั้นออกมาภายหลังที่คดีโจทก์ขาดอายุความฟ้องร้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลเสียแล้วจึงไม่ทำให้อายุความดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2507 โจทก์ทำสัญญาจะซื้อที่ดินที่จำเลยที่ 1 ประกาศจัดสรรขาย 1 แปลง เนื้อที่ 1 ไร่ จากจำเลยที่ 1 ราคา 156,600 บาท ชำระเงินมัดจำในวันทำสัญญา 12,000 บาท ที่เหลือผ่อนชำระเดือนละ 1,600 บาท ทำสัญญาแล้วจำเลยที่ 1 นำชี้ที่ดินให้โจทก์และโจทก์เข้าครอบครองปลูกบ้านขึ้น 1 หลังโจทก์ผ่อนชำระเงินค่าที่ดินให้จำเลยที่ 1 จนถึงเดือนตุลาคม 2514 เป็นเวลา 76 เดือน เป็นเงิน 133,600 บาท คงเหลือ 22,400 บาท โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยที่ 1 โอนโฉนดให้ โดยโจทก์จะชำระเงินค่าที่ดินที่เหลือให้ทั้งหมด จำเลยที่ 1 อ้างว่ายังแบ่งแยกโฉนดไม่เสร็จและขอผัดผ่อนเรื่อยมา ทั้ง ๆ ที่เจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดที่ดิน 2 โฉนด ให้จำเลยแล้วตั้งแต่เดือนเมษายน 2519 คือโฉนดที่ 29530 เนื้อที่ 1 งาน 27 ตารางวา และโฉนดที่ 27854 เนื้อที่ 2 งาน 94 ตารางวา เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2510 จำเลยที่ 1 นำที่ดินโฉนดที่ 29530 และที่ดินโฉนดอื่น ๆ อีกรวม 6 โฉนดไปจำนองจำเลยที่ 2 เป็นเงิน 400,000 บาท เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2509 จำเลยที่ 1 นำที่ดินโฉนดที่ 27854 และที่ดินโฉนดอื่น ๆ อีกรวม 17 โฉนดไปจำนองธนาคารกรุงเทพฯพาณิชย์การจำกัด เป็นเงิน 400,000 บาท ต่อมาได้ไถ่จำนองจากธนาคารแล้วนำไปจำนองจำเลยที่ 3 เป็นเงิน 170,000 บาท ทั้งนี้ โดยจำเลยทั้งสามร่วมกันฉ้อฉลโจทก์โดยมิชอบและไม่สุจริตเพื่อหลอกลวงโจทก์ให้เสียหายและเสียเปรียบจำเลยทั้งสามรู้หรือควรรู้แล้วว่าที่ดินดังกล่าวจำเลยที่ 1 จัดสรรขายและโจทก์ซื้อไว้กับเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินแล้ว ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดที่ 29530 และโฉนดที่ 27854 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับที่ 2 และจำเลยที่ 1 กับที่ 3 ให้จำเลยที่ 1 รับเงินค่าที่ดิน 22,400 บาท จากโจทก์แล้วโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน 2 โฉนดดังกล่าวให้โจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนถ้าสภาพไม่เปิดช่องให้โอนที่ดินให้โจทก์ได้ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงินเป็นค่าที่ดินที่โจทก์ชำระไปแล้ว 133,600 บาท ค่าถมดินปลูกบ้าน 50,000 บาท รวมเป็นเงิน 183,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จให้โจทก์

จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

สำหรับจำเลยที่ 2 โจทก์ขอถอนฟ้องระหว่างสืบพยานโจทก์และศาลอนุญาตแล้ว

จำเลยที่ 3 ให้การว่าโจทก์มิได้ทำสัญญาซื้อขายที่พิพาทจากจำเลยที่ 1 และไม่เคยชำระราคาที่พิพาทแก่จำเลยที่ 1 ทั้งโจทก์มิได้ครอบครองที่พิพาทจำเลยที่ 3 มิได้สมคบกับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 กระทำการฉ้อฉลโจทก์ จำเลยที่ 3 รับจำนองที่ดินโฉนดที่ 27854 ไว้โดยสุจริตและได้เสียค่าตอบแทนให้แก่จำเลยที่ 1 ทั้งได้จดทะเบียนจำนองต่อเจ้าพนักงานโดยสุจริต โจทก์มิใช่ผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ก่อนจำเลยที่ 3 โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเพิกถอนนิติกรรมจำนองระหว่างจำเลยที่ 1 กับที่ 3 โจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 3 รับจำนองที่พิพาทไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2514 เพิ่งฟ้องเมื่อเวลาเกินกว่า 1 ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดที่ 27854 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 ให้จำเลยที่ 1 รับเงินค่าที่ดินที่เหลืออีก 22,400 บาทจากโจทก์ แล้วให้จำเลยที่ 1 จัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 29530 และ 27854 ให้โจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1

จำเลยที่ 3 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์ที่ขอให้เพิกถอนนิติกรรมจำนองที่พิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 240 ห้ามมิให้ฟ้องร้องเมื่อพ้น 1 ปี นับแต่เวลาที่เจ้าหนี้ได้รู้ต้นเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอนหรือพ้น 10 ปี นับแต่ได้ทำนิติกรรมนั้น โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามสัญญาขายกรรมสิทธิ์ที่ดินของจำเลยที่ 1 รู้ถึงการที่จำเลยที่ 1 เอาที่ดินโฉนดที่ 27854 ที่จำเลยที่ 1 ตกลงจะขายให้โจทก์ไปจำนองจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นต้นเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอนการฉ้อฉลตั้งแต่เดือนมีนาคม 2514 แต่โจทก์มิได้ฟ้องร้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมจำนองที่ดินโฉนดที่ 27859 ภายใน 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์ได้รู้ต้นเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอน คดีโจทก์จึงขาดอายุความฟ้องร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 240 แม้หัวหน้าคณะปฏิวัติจะมีคำสั่งที่ 42/2515 ลงวันที่ 23 กรกฎาคม 2515 ให้รัฐมีอำนาจจัดการทรัพย์สินทั้งหมดของจำเลยที่ 1 และให้ผู้มีสิทธิภารผูกพันกับที่ดินจากจำเลยที่ 1 ยื่นหลักฐานเรียกร้องที่ดินของจำเลยที่ 1 ต่อกรมที่ดินได้ แต่เป็นคำสั่งที่ออกมาภายหลังที่คดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว จึงไม่ทำให้อายุความฟ้องร้องเปลี่ยนแปลงไป

พิพากษายืน

Share