แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า เป็นการฎีกาดุลพินิจในการฟังของกลางและการกำหนดโทษ ถือเป็นการฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ไม่รับฎีกาจำเลย
จำเลยเห็นว่า คดีนี้โจทก์ยังไม่ได้ตรวจสอบและพิสูจน์น้ำหนัก ของกลาง เป็นการฝ่าฝืนเงื่อนไขตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2528 คำฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบ ปัญหาเรื่องของกลาง ในคดีอาญาเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ทั้งคำรับสารภาพของจำเลยก็มิชอบเพราะพนักงานที่เกี่ยวข้อง แนะนำว่า เมื่อจำเลยรับสารภาพแล้วจะมีโทษปรับสถานเดียว ซึ่งปัญหาข้อนี้จำเลยได้ยกขึ้นอ้างในอุทธรณ์แล้ว ส่วนเรื่อง การรอลงอาญานั้นศาลอุทธรณ์ก็ยังมิได้หยิบยกเอาเงื่อนไขตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 56 มาเป็นข้อวินิจฉัยโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 46)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานผลิตพืชกระท่อมและมีพืชกระท่อมในครอบครองเพื่อจำหน่าย ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26 วรรคสอง,75 วรรคสอง,76 วรรคท้าย เป็นพืชจำนวนเดียวกัน ซึ่งเป็นความผิดกรรมเดียวกัน ผิดต่อกฎหมายที่มีโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานผลิตพืชกระท่อม ให้จำคุก 18 เดือน จำเลยรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 9 เดือน ของกลางริบ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 36)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 39)
คำสั่ง
คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษ จำคุกจำเลยมีกำหนด 9 เดือน จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาเป็นทำนองว่า ถ้ามีการ ส่งของกลางไปให้กองพิสูจน์หลักฐานทำการตรวจพิสูจน์แล้ว น้ำหนักของของกลางจะมีจำนวนน้อยกว่าที่ปรากฏในคำฟ้อง และพฤติการณ์แห่งคดีมีเหตุสมควรรอการลงโทษจำเลยนั้น เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานและการกำหนดโทษ ของศาลจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง