แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ดินของจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นที่ลุ่มอยู่ต่ำกว่าที่ดินของโจทก์ทั้งสิบเจ็ด จำต้องรับน้ำซึ่งไหลตามธรรมดาจากที่ดินสูงมาในที่ดินของตน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1339 วรรคแรกและจำต้องรับน้ำซึ่งไหลเพราะระบายจากที่ดินสูงมาในที่ดินของตนเพราะก่อนหน้านี้น้ำจากบริเวณที่ดินของโจทก์ทั้งสิบเจ็ดซึ่งเป็นที่สูงก็ได้ระบายไหลเข้ามาในที่ดินของจำเลยทั้งสองในบริเวณที่พิพาทตามธรรมดาอยู่แล้วดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1340 วรรคแรกแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เมื่อจำเลยทั้งสองใช้ดินกลบลำรางในที่พิพาทเป็นเหตุให้น้ำท่วมนาของโจทก์ทั้งสิบเจ็ดจนได้รับความเดือดร้อนเสียหายเช่นนี้ โจทก์ทั้งสิบเจ็ดย่อมมีสิทธิฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองทำที่พิพาทให้เป็นลำรางระบายน้ำตามเดิมได้ โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ทั้งสิบเจ็ดซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินในบริเวณทุ่งใหญ่ได้รับความเดือดร้อนเสียหายเพราะจำเลยทั้งสองใช้ดินกลบลำรางระบายน้ำซึ่งเป็นทางระบายน้ำที่ไหลจากบริเวณที่ดินโจทก์ทั้งสิบเจ็ดผ่านลำรางดังกล่าวไปสู่บึงน้ำสาธารณะมานาน 40 ถึง50 ปีแล้ว เป็นทางภารจำยอม อันเป็นการบรรยายถึงสิทธิของโจทก์ทั้งสิบเจ็ดที่จะใช้ลำรางระบายน้ำนั้นได้โดยไม่ให้จำเลยทั้งสองปิดกั้น ซึ่งในคดีแพ่งนั้นโจทก์ไม่จำเป็นจะต้องยกบทกฎหมายขึ้นกล่าวอ้าง เพียงแต่บรรยายข้อเท็จจริงและมีคำขอบังคับก็เป็นเพียงพอแล้ว ส่วนบทกฎหมายใดจะใช้บังคับแก่คดีย่อมเป็นหน้าที่ของศาลที่จะยกมาปรับแก่คดีเอง ฉะนั้นเมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามทางพิจารณาว่า กรณีเป็นเรื่องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1339 วรรคแรก และมาตรา 1340 วรรคแรก ศาลก็มีอำนาจวินิจฉัยได้ว่ากรณีเป็นเรื่องดังกล่าวได้ ไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่า หากจำเลยทั้งสองไม่ร่วมกันขุดเปิดลำรางก็ให้โจทก์ทั้งสิบเจ็ดดำเนินการเองโดยให้จำเลยทั้งสองร่วมกันออกค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นแทน ไม่ชอบด้วยวิธีการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 ทวิ เพราะเป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่จะดำเนินการตามกฎหมายดังกล่าว โจทก์ทั้งสิบเจ็ดชอบที่จะขอต่อศาลให้มีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการให้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสิบเจ็ดเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินที่ตั้งอยู่ในท้องที่เดียวกับที่ดินของจำเลยทั้งสองโจทก์ทั้งสิบเจ็ดได้อาศัยที่ดินของจำเลยทั้งสองเป็นเส้นทางระบายน้ำผ่านมาตลอดระยะเวลากว่า 40 ถึง 50 ปี โดยจำเลยทั้งสองหาได้คัดค้านแต่อย่างใด ที่ดินบริเวณดังกล่าวของจำเลยทั้งสองจึงตกเป็นภารจำยอมโดยอายุความ ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2528 จำเลยทั้งสองได้ดันดินถมบริเวณที่ใช้เป็นทางระบายน้ำปิดกั้นการระบายน้ำ ทำให้น้ำที่ทางชลประทานได้เปิดให้ใช้สำหรับทำการเกษตรกรรมที่เคยระบายน้ำผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสองไปสู่ทางสาธารณะไม่สามารถระบายน้ำไปสู่บึงน้ำได้ตามปกติ น้ำจึงท่วมทำความเสียหายให้แก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสิบเจ็ดและชาวบ้านนับจำนวนหลายร้อยไร่ ไม่สามารถทำการเพาะปลูกข้าวได้ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองจดทะเบียนภารจำยอมในที่ดินทั้ง 2 แปลงของจำเลยทั้งสอง แต่ละแปลงกว้าง 1 วา ยาว 194 เมตร ลึก 1 วาตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องและให้จำเลยทั้งสองร่วมกันขุดเปิดทางภารจำยอมซึ่งมีความกว้าง 2 วา ยาว 194 เมตร ลึก 1 วา หากจำเลยทั้งสองไม่สามารถทำการขุดได้ด้วยตนเองหรือไม่ไปทำการขุด ให้โจทก์ทั้งสิบเจ็ดเป็นผู้กระทำการแทนโดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
จำเลยทั้งสองให้การว่า ที่โจทก์ทั้งสิบเจ็ดฟ้องว่าได้อาศัยที่ดินของจำเลยทั้งสองเป็นเส้นทางระบายน้ำผ่านมาตลอดระยะเวลา40 ถึง 50 ปี ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ความจริงแล้วเมื่อมีน้ำมากเกินความต้องการ โจทก์ทั้งสิบเจ็ดก็จะระบายน้ำลงสู่คลองส่งน้ำชลประทานราษฎร์ไหลลงสู่บึงไผ่แขก ที่ดินของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นภารจำยอม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันขุดเปิดลำรางภารจำยอมตรงแนวเขตที่ดินของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เล่มที่ 14 กว้างประมาณ 2 วา ยาวประมาณ 194 เมตรลึกประมาณ 1 วา โดยให้ลำรางอยู่ในเขตที่ดินของจำเลยทั้งสองคนละครึ่งหากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามก็ให้โจทก์ทั้งสิบเจ็ดดำเนินการเองโดยให้จำเลยทั้งสองร่วมกันออกค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นแทนและให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนภารจำยอมในที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสิบเจ็ดหากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยที่ 2 ถึงแก่กรรมนายฉุ่น พันธุ์มุข ทายาทของจำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลฎีกาอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่พิพาทนั้นเดิมเป็นลำรางระบายน้ำตามธรรมดาธรรมชาติจากพื้นที่บริเวณทุ่งใหญ่ลงสู่บึงไผ่แขก โดยที่ที่ดินของจำเลยทั้งสองตรงที่พิพาทเป็นที่ลุ่ม เมื่อถึงฤดูน้ำหรือฤดูทำนามีน้ำมากในพื้นที่บริเวณทุ่งใหญ่ น้ำก็จะไหลจากบริเวณทุ่งใหญ่ผ่านลำรางดังกล่าวในที่พิพาทลงสู่บึงไผ่แขกเป็นเช่นนี้มาหลายสิบปีแล้ว กรณีเป็นเรื่องที่ดินของจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นที่ลุ่มอยู่ต่ำกว่าที่ดินของโจทก์ทั้งสิบเจ็ด จำต้องรับน้ำซึ่งไหลตามธรรมดาจากที่ดินสูงมาในที่ดินของตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1339 วรรคแรก และจำต้องรับน้ำซึ่งไหลเพราะระบายจากที่ดินสูงมาในที่ดินของตน เพราะก่อนหน้านี้น้ำจากบริเวณที่ดินของโจทก์ทั้งสิบเจ็ดซึ่งเป็นที่สูงก็ได้ระบายไหลเข้ามาในที่ดินของจำเลยทั้งสองในบริเวณที่พิพาทตามธรรมดาอยู่แล้วดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา1340 วรรคแรกแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เมื่อจำเลยทั้งสองใช้ดินกลบลำรางในที่พิพาทเป็นเหตุให้น้ำท่วมนาของโจทก์ทั้งสิบเจ็ดจนได้รับความเดือดร้อนเสียหายเช่นนี้ โจทก์ทั้งสิบเจ็ดย่อมมีสิทธิฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองทำที่พิพาทให้เป็นลำรางระบายน้ำตามเดิมได้ ซึ่งโจทก์ทั้งสิบเจ็ดได้บรรยายฟ้องถึงข้อเท็จจริงโดยได้แสดงแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นไว้ชัดเจนแล้วว่า โจทก์ทั้งสิบเจ็ดซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินในบริเวณทุ่งใหญ่ได้รับความเดือดร้อนเสียหายเพราะจำเลยทั้งสองใช้ดินกลบลำรางระบายน้ำซึ่งเป็นทางระบายน้ำที่ไหลจากบริเวณที่ดินโจทก์ทั้งสิบเจ็ดผ่านลำรางดังกล่าวไปสู่บึงน้ำสาธารณะมานาน 40 ถึง 50 ปีแล้ว เป็นทางภารจำยอม อันเป็นการบรรยายถึงสิทธิของโจทก์ทั้งสิบเจ็ดที่จะใช้ลำรางระบายน้ำนั้นได้ โดยไม่ให้จำเลยทั้งสองปิดกั้น ซึ่งในคดีแพ่งนั้นโจทก์ไม่จำเป็นจะต้องยกบทกฎหมายขึ้นกล่าวอ้างเพียงแต่บรรยายข้อเท็จจริงและมีคำขอบังคับก็เป็นการเพียงพอแล้ว ส่วนบทกฎหมายใดจะใช้บังคับแก่คดีย่อมเป็นหน้าที่ของศาลที่จะยกมาปรับแก่คดีเอง ฉะนั้นเมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามทางพิจารณาว่า กรณีเป็นเรื่องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1339 วรรคแรก และมาตรา 1340 วรรคแรกศาลฎีกาก็มีอำนาจวินิจฉัยได้ว่ากรณีเป็นเรื่องดังกล่าวได้ไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น
ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่า หากจำเลยทั้งสองไม่ร่วมกันขุดเปิดลำรางก็ให้โจทก์ทั้งสิบเจ็ดดำเนินการเองโดยให้จำเลยทั้งสองร่วมกันออกค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นแทน นั้น ไม่ชอบด้วยวิธีการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 ทวิ เพราะเป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่จะดำเนินการตามกฎหมายดังกล่าว โจทก์ทั้งสิบเจ็ดชอบที่จะขอต่อศาลให้มีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการให้ และเมื่อกรณีมิใช่เรื่องภารจำยอมก็ไม่ต้องมีการจดทะเบียนภารจำยอม ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนภารจำยอมในที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสิบเจ็ดหากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสองนั้นจึงไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอที่ให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนภารจำยอม และคำขอที่ว่าหากจำเลยทั้งสองไม่สามารถขุดเปิดทางภารจำยอมด้วยตนเองได้ ให้โจทก์ทั้งสิบเจ็ดเป็นผู้กระทำแทนโดยจำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์