แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยด่าโจทก์และมารดาโจทก์ว่า “ซื้อหมาอ้วนตัวหนึ่ง ราคา100,000 บาท วัน ๆ ไม่ทำอะไร นอนอยู่แต่หน้าเตา โคตรเง่าเหล่าอีหม่วยกูไม่เอามาทำพันธุ์อีกแล้ว”คำว่าหมาอ้วน หมายถึง โจทก์คำว่า อีหม่วย หมายถึง มารดาโจทก์เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ และบุพการีโจทก์อย่างร้ายแรง โจทก์มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้โจทก์กับจำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภรรยากันไปจดทะเบียนหย่า ณ ที่ว่าการอำเภอ ภายใน 7 วัน นับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยด้วย ให้จำเลยแบ่งสินสมรสให้โจทก์เป็นเงิน 39,345 บาท
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภรรยากัน ให้จำเลยแบ่งสินสมรสให้โจทก์เป็นเงิน 39,345 บาทคำขออื่นให้ยก
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยฎีกาข้อเดียวว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยหรือไม่โจทก์เบิกความว่าประมาณเดือนพฤษภาคม 2531 นางผาด แตงทับเล่าให้โจทก์ฟังว่าเมื่อ 2-3 วันที่แล้วมา จำเลยไปเกี่ยวข้าวที่ทุ่งนาแล้วจำเลยได้ด่าว่าโจทก์ต่อหน้านางผาดและบุคคลอื่นอีกหลายคนที่มาเกี่ยวข้าวว่า “ซื้อหมาอ้วนมาตัวหนึ่งราคา 100,000บาท วัน ๆ ไม่ทำอะไรนอนอยู่แต่หน้าเตา โคตรเง่าเหล่าอีหม่วยกูไม่เอามาทำพันธุ์อีกแล้ว” คำว่าหมาอ้วนหมายถึงโจทก์ ส่วนคำว่าอีหม่วย หรืออีม่วย หมายถึงมารดาโจทก์ นอกจากนี้จำเลยยังได้ขับไล่ให้โจทก์กับบุตรชายออกจากบ้านด้วยโดยด่าว่า “โคตรเง่าเหล่านี้กูไม่เอามาทำพันธุ์อีกแล้ว บ้านช่องมีอยู่มึงก็ไปบ้านมึง” นางผาดเบิกความสนับสนุนโจทก์ว่า บ้านพยานอยู่ห่างบ้านมารดาโจทก์ประมาณ20 วา เมื่อเดือนพฤษภาคม 2531 พยานไปเกี่ยวข้าวที่ทุ่งนาพบจำเลยจำเลยด่าโจทก์ว่า “ซื้อหมาอ้วนมาในราคา 100,000 บาท ไม่ทำอะไรกินเลยนอนจนขนเหี้ยน เหล่าอีหม่วย กูไม่เอาอีกแล้ว เหล่าอีหม่วย มันไม่ดีลูกมันก็ไม่ดี” นายพล อ่องน้อย พยานโจทก์อีกปากหนึ่งก็เบิกความว่าพยานมีบ้านอยู่ห่างบ้านมารดาโจทก์ประมาณ 1 กิโลเมตร เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2531 พยานไปเกี่ยวข้าวที่นานายใช้ซึ่งอยู่ที่หมู่ที่ 6ตำบลบ้านพราน อำเภอแสวงหา จังหวัดอ่างทอง พบจำเลยกับบุคคลอื่นอีกหลายคนที่นาได้ยินจำเลยพูดว่า “ได้ซื้อหมามาตัวหนึ่ง ราคา100,000 บาท เลี้ยงมาจนขนเหี้ยน งานการก็ไม่ทำนั่งกินอยู่หน้าเตาโคตรนี้กูไม่เอามาทำพันธุ์อีกแล้ว อีม่วย ก็เลว เมียกูก็เลว”เห็นว่า นอกจากโจทก์เบิกความยืนยันว่าจำเลยด่าโจทก์ว่าหมาอ้วนและด่ามารดาโจทก์ว่าโคตรเง่าเหล่าอีหม่วย มันไม่ดีแล้ว โจทก์ยังมีนางผาดและนายพลเป็นพยานคนกลางมิได้เป็นญาติหรือเป็นผู้มีส่วนได้เสียกับโจทก์แต่อย่างใดและไม่ปรากฏว่ามีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน เบิกความสนับสนุนคำเบิกความโจทก์ให้มีน้ำหนักยิ่งขึ้นเชื่อว่าพยานโจทก์ทั้งสองเบิกความไปตามความเป็นจริง จำเลยไม่ได้นำสืบโต้แย้งให้ศาลเห็นเป็นอย่างอื่น แต่กลับให้การรับว่ามารดาโจทก์ได้ทะเลาะกับจำเลยบ่อยครั้งและได้ขับไล่โจทก์จำเลยออกจากบ้าน หลังจากนั้นจำเลยเคยสั่งสอนโจทก์เพราะโจทก์เกียจคร้านทำงานบกพร่องอยู่เสมอ เมื่อจำเลยตักเตือนทำให้โจทก์โกรธและทะเลาะกันเจือสมกับพยานโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้ด่าว่าโจทก์และมารดาโจทก์ตามฟ้องจริงถ้อยคำของจำเลยดังกล่าวเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์และบุพการีโจทก์อย่างร้ายแรง โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยได้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน