แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยยังคงทำละเมิดอย่างต่อเนื่องและโจทก์ได้รับความเสียหายอย่างต่อเนื่องตลอดมาจนถึงวันฟ้องคดีนี้ ฟ้องของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 448 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้รับผิดต่อโจทก์ฐานละเมิด ทำให้อาคารตึกแถวที่โจทก์ครอบครองและสินค้าของโจทก์ที่วางขายที่อาคารตึกแถวได้รับความเสียหาย ขอให้ใช้ค่าเสียหาย โดยโจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นทั้งทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกและเป็นผู้จัดการมรดก บ. บ. เป็นเจ้าของที่ดินซึ่งปลูกสร้างอาคารตึกแถวดังกล่าวตั้งแต่ขณะ บ. ยังมีชีวิตอยู่ และปรากฏว่าศาลตั้งโจทก์กับ ก. เป็นผู้จัดการมรดกของ บ. ร่วมกัน พอถือได้ว่าโจทก์ฟ้องให้รับผิดในส่วนที่เกี่ยวกับอาคารตึกแถวได้รับความเสียหายในฐานะที่โจทก์เป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของ บ. ด้วย ซึ่งหากโจทก์ได้รับค่าเสียหายเกี่ยวกับอาคารตึกแถวมาก็เพื่อเป็นประโยชน์ต่อทายาททุกคนของ บ. มิใช่เพื่อโจทก์เพียงผู้เดียว โจทก์ผู้เดียวย่อมมีอำนาจฟ้อง ส่วนที่เกี่ยวกับค่าเสียหายอื่นที่ไม่เกี่ยวกับอาคารตึกแถว เช่น ค่าสินค้าของโจทก์ที่เสียหาย และค่าขาดประโยชน์ เป็นต้น เป็นการฟ้องเพื่อประโยชน์ของโจทก์ผู้เดียว โจทก์ผู้เดียวมีอำนาจฟ้องอยู่แล้ว ดังนั้น โจทก์ผู้เดียวย่อมมีอำนาจฟ้องคดีนี้ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 1,050,800 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความ 1 ปี หรือไม่ เห็นว่า ตามคำเบิกความของโจทก์ โจทก์มีภาพถ่ายดังกล่าวเป็นหลักฐาน ซึ่งเป็นภาพถ่ายที่ถ่ายก่อนฟ้องคดีนี้เล็กน้อยและหลังฟ้องคดีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพถ่าย เป็นภาพถ่ายที่รถแบ็กโฮกำลังทำงานอยู่ใกล้แนวอาคารตึกแถวที่โจทก์ครอบครอง เมื่อพิจารณาประกอบกับคำเบิกความของนายจิระศักดิ์และนายสุชาติตามสำเนาคำเบิกความพยานเอกสาร แล้ว ทำให้คำเบิกความของโจทก์มีน้ำหนักให้รับฟัง ยิ่งกว่านั้น นายธรรมนูญ สถาปนิกและผู้ช่วยฝ่ายงานออกแบบงานโยธาของจำเลยที่ 1 เบิกความเป็นพยานจำเลยที่ 1 ตอบ คำถามค้านของทนายโจทก์ยอมรับว่าระหว่างการก่อสร้างมีการนำรถแบ็กโฮและรถขุดตามภาพถ่าย เข้ามา ซึ่งตามภาพถ่าย ถ่ายเมื่อวันที่ 16, 21 และ24 ตุลาคม 2543 เป็นภาพถ่ายรถแบ็กโฮกำลังทำงานอยู่ใกล้แนวเขตอาคารตึกแถวที่โจทก์ครอบครองเช่นเดียวกัน อันเป็นการเจือสมกับคำเบิกความและพยานหลักฐานของโจทก์ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามพยานหลักฐานของโจทก์ว่า ฝ่ายจำเลยยังคงทำละเมิดอย่างต่อเนื่องและโจทก์ได้รับความเสียหายอย่างต่อเนื่องตลอดมาจนถึงวันฟ้องคดีนี้ ฟ้องของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ที่ศาลล่างทั้งสองเห็นว่าฟ้องของโจทก์ขาดอายุความ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
สำหรับปัญหาข้ออื่นศาลล่างทั้งสองยังมิได้วินิจฉัย แต่เมื่อคู่ความทั้งสองฝ่ายสืบพยานกันมาจนเสร็จสิ้นกระแสความแล้ว เพื่อมิให้คดีต้องล่าช้า ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปเสียทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาก่อน ซึ่งมีปัญหาวินิจฉัยข้อแรกตามคำให้การของจำเลยทั้งสามว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ที่ได้ยกมากล่าวไว้ข้างต้น โจทก์บรรยายฟ้องแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว โดยบรรยายการทำละเมิดว่าเป็นการละเมิดอย่างต่อเนื่อง มิใช่ไม่ได้บรรยายถึงวันทำละเมิดว่าทำละเมิดวันใดดังที่จำเลยทั้งสามให้การ ส่วนความเสียหายที่โจทก์ได้รับมีรายการใดบ้าง เป็นจำนวนเท่าใด ดังที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้การว่าโจทก์ไม่ได้บรรยายมาในฟ้องนั้น เป็นรายละเอียดที่โจทก์อาจนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม ข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งสามในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาวินิจฉัยข้อต่อไปตามคำให้การของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่า ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้อนกับคดีที่นางศิริพร ฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ผู้เป็นโจทก์ฟ้องแต่ละคดีต่างคนกัน เรียกค่าเสียหายคนละส่วนไม่เกี่ยวข้องกัน ไม่เป็นการฟ้องเรื่องเดียวกัน จึงไม่เป็นฟ้องซ้อน ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
ปัญหาวินิจฉัยข้อต่อไปตามคำให้การของจำเลยทั้งสามว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้รับผิดต่อโจทก์ฐานละเมิด ทำให้อาคารตึกแถวที่โจทก์ครอบครองและสินค้าของโจทก์ที่วางขายที่อาคารตึกแถวได้รับความเสียหาย ขอให้ใช้ค่าเสียหาย โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นทั้งทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกและเป็นผู้จัดการมรดกนายบุญเสริม นายบุญเสริมเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 11733 ซึ่งปลูกสร้างอาคารตึกแถวดังกล่าวตั้งแต่ขณะนายบุญเสริมยังมีชีวิตอยู่ และปรากฏว่าศาลตั้งโจทก์กับนางกนกพรรณเป็นผู้จัดการมรดกของนายบุญเสริมร่วมกัน พอถือได้ว่าโจทก์ฟ้องให้รับผิดในส่วนที่เกี่ยวกับอาคารตึกแถวได้รับความเสียหายในฐานะที่โจทก์เป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของนายบุญเสริมด้วย ซึ่งหากโจทก์ได้รับค่าเสียหายเกี่ยวกับอาคารตึกแถวมาก็เพื่อเป็นประโยชน์ต่อทายาททุกคนของนายบุญเสริม มิใช่เพื่อโจทก์เพียงผู้เดียว โจทก์ผู้เดียวย่อมมีอำนาจฟ้อง ส่วนที่เกี่ยวกับค่าเสียหายอื่นที่ไม่เกี่ยวกับอาคารตึกแถว เช่น ค่าสินค้าของโจทก์ที่เสียหาย และค่าขาดประโยชน์ เป็นต้น เป็นการฟ้องเพื่อประโยชน์ของโจทก์ผู้เดียว โจทก์ผู้เดียวมีอำนาจฟ้องอยู่แล้ว ดังนั้น โจทก์ผู้เดียวย่อมมีอำนาจฟ้องคดีนี้ได้ ข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งสามในข้อนี้ก็ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาวินิจฉัยข้อสุดท้ายมีว่า จำเลยทั้งสามต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เพียงใด โดยจำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 เป็นเพียงเจ้าของที่ดินที่มีการก่อสร้าง ในการก่อสร้างมีบริษัทรับผิดชอบโดยตรงในการออกแบบ ควบคุมงานและเลือกหาผู้รับจ้าง จำเลยที่ 1 ไม่ได้เลือกหาผู้รับจ้างเอง จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องร่วมรับผิด และจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การและนำสืบว่า จำเลยที่ 2 มิได้ประมาทเลินเล่อในการก่อสร้างนั้น สำหรับการกระทำที่โจทก์อ้างว่าฝ่ายจำเลยทำละเมิดวางท่อประปาในที่ดินของโจทก์ ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยไว้โดยละเอียดชัดแจ้งแล้วว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้ร่วมกันทำละเมิด ซึ่งศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ไม่จำต้องวินิจฉัยซ้ำอีก ส่วนการกระทำอื่นนอกจากการวางท่อประปาเห็นว่าพยานโจทก์นอกจากมีโจทก์เบิกความดังที่ได้กล่าวมาแล้ว โจทก์ยังมีนายชาญณรงค์ วิศวกรที่โจทก์จ้างมาดูอาคารที่โจทก์ครอบครองเป็นพยานเบิกความยืนยันว่า พยานตรวจดูแล้วปรากฏว่าดินไหลจากใต้อาคารที่โจทก์ครอบครองจริง พยานร่วมประชุมกับฝ่ายจำเลย 3 ถึง 4 ครั้ง ร่วมกับฝ่ายจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตรวจสอบความเอียงของตัวอาคารที่โจทก์ครอบครองตามภาพถ่าย ร่วมกันตรวจสอบความเสียหายหลายครั้ง ได้ทำหลักฐานรายการความเสียหายไว้ตามสำเนาเอกสารพร้อมภาพถ่าย และภาพถ่าย จำเลยที่ 2 อัดทรายเข้าไปใต้อาคารที่โจทก์ครอบครองแทนดินที่ไหลออกมา จำเลยที่ 2 ยังได้จ้างพยานควบคุมดูแลการอัดทราย นายธรรมนูญพยานจำเลยที่ 1 ก็เบิกความยอมรับว่า พยานเคยไปร่วมฟังการประชุมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 เรื่องความเสียหายจริง ส่วนพยานฝ่ายจำเลยคงกล่าวอ้างและเบิกความลอย ๆ ว่าไม่ได้ประมาทเลินเล่อ ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามพยานหลักฐานของโจทก์ว่า จำเลยที่ 2 ก่อสร้างโดยประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 2 ทำละเมิดต่อโจทก์จำต้องใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ส่วนจำเลยที่ 1 แม้จะอ้างว่ามีบริษัทรับผิดชอบโดยตรงในการออกแบบ ควบคุมงานและเลือกหาผู้รับจ้างก็ตาม แต่เมื่อได้คำนึงถึงการก่อสร้างซึ่งเป็นตึกสูงหลายชั้น ใช้เงินก่อสร้างเป็นจำนวนที่สูงมาก ตามพฤติการณ์น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 1 มีส่วนเลือกหาผู้รับจ้างคือจำเลยที่ 2 ด้วย จำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ต่อโจทก์ด้วย สำหรับความเสียหายที่โจทก์ได้รับนั้น เมื่อพิจารณาตามฟ้องและพยานหลักฐานของโจทก์โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพถ่ายแสดงความเสียหายของตัวอาคารและสินค้าภายในอาคารต่าง ๆ ที่โจทก์อ้างส่งเป็นหลักฐานดังกล่าว ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมอาคาร ตลอดจนค่าสูญเสียโอกาสในการประกอบธุรกิจระหว่างซ่อมแซมอาคารกับทั้งพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดแล้ว เห็นสมควรกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ส่วนที่เกี่ยวกับอาคารตึกแถว 300,000 บาท และค่าเสียหายอื่นที่ไม่เกี่ยวกับอาคารตึกแถว 200,000 บาท รวมเป็นเงิน 500,000 บาท จำเลยที่ 1 และที่ 2 ต้องร่วมกันรับผิดเป็นเงินตามจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย ส่วนจำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัย ต้องร่วมรับผิด 50,000 บาท ตามกรมธรรม์ พร้อมดอกเบี้ย ข้อต่อสู้ของฝ่ายจำเลยในข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษากลับ ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ในฐานะที่โจทก์เป็นทายาทของนายบุญเสริม เพื่อประโยชน์ต่อทายาททุกคนของนายบุญเสริมรวมทั้งโจทก์ สำหรับค่าเสียหายที่เกี่ยวกับอาคารตึกแถว 300,000 บาท และร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ในฐานะส่วนตัวสำหรับค่าเสียหายอื่นที่ไม่เกี่ยวกับอาคารตึกแถว 200,000 บาท รวม 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 19 ตุลาคม 2543) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ สำหรับค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความให้รวม 50,000 บาท ในจำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ต้องชำระเงินแก่โจทก์ 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยนั้น ให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิด 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 50,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 3 จะชำระเสร็จ ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 3 ทั้งสามศาลให้เป็นพับ