คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1970/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดตามสัญญาเช่า ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารกับให้ใช้ค่าเสียหาย เมื่อปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยชั่วคราวแล้วตั้งแต่ก่อนโจทก์ยื่นฎีกา ซึ่งเมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้แล้วเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวมีอำนาจในการเก็บรวบรวมและรับเงิน หรือทรัพย์สินซึ่งจะตกได้แก่ลูกหนี้หรือซึ่งลูกหนี้มีสิทธิจะได้รับจากผู้อื่นแม้แต่คำสั่งของศาลที่ให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินของลูกหนี้ไว้ชั่วคราว หรือหมายบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้นั้นก็จะใช้ยันแก่ จ.พ.ท.ของลูกหนี้ไม่ได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 22(2) และมาตรา 110 วรรคหนึ่ง ดังนั้นโจทก์จึงไม่อาจจะฎีกาขอให้ศาลในคดีนี้มีคำสั่งกำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์โดยให้เจ้าพนักงานบังคับคดีหรือตัวแทนของโจทก์เข้าไปตรวจสอบรายรับรายจ่ายของรายได้จากเงินค่าเช่าทรัพย์สินที่พิพาท แล้วให้นำเงินค่าเช่าบางส่วนหลังจากหักค่าใช้จ่ายมาวางศาลให้ระหว่างการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 ได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญาเช่าขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาทและเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 365,220,000 บาท จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้ผิดสัญญาเช่า คดีอยู่ในระหว่างการสืบพยานโจทก์ โจทก์ยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างการพิจารณาว่าหลังจากที่โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าและแจ้งให้จำเลยออกจากที่ดินพิพาท แต่จำเลยยังครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมา และนำสิ่งปลูกสร้างอาคารพาณิชย์แผงตลาดสดบนที่ดินพิพาทออกให้บุคคลภายนอกเช่าช่วงและเป็นผู้เก็บเงินผลประโยชน์โดยไม่มีสิทธิเดือนละประมาณ1,000,000 บาท แล้วนำเงินไปจำหน่ายจ่ายโอนและยักย้ายถ่ายเทไปยังบุคคลภายนอกเพื่อหลีกเลี่ยงการบังคับคดี หากศาลมีคำพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายและค่าเช่าให้แก่โจทก์ โจทก์ก็จะไม่สามารถบังคับคดีเอากับทรัพย์สินอื่นใดพอที่จะชดใช้ค่าเสียหายได้เพราะจำเลยมีรายได้แต่เพียงเงินค่าเช่าจากทรัพย์สินที่พิพาทเท่านั้น อีกทั้งปัจจุบันจำเลยได้ถูกฟ้องเป็นคดีล้มละลายขอให้มีคำสั่งแต่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีหรือตัวแทนโจทก์เข้าไปตรวจสอบรายรับรายจ่ายของรายได้จากเงินค่าเช่าทรัพย์สินที่พิพาททั้งหมดและให้นำเงินค่าเช่าจำนวนร้อยละ 60 ของเงินรายได้จากค่าเช่าทั้งหมดหลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้วมาวางไว้ต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264
จำเลยยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้จำเลยนำเงินรายได้และค่าเช่ามาวางศาลทุกเดือน เดือนละ 400,000 บาท นับแต่วันมีคำสั่งเป็นต้นไปจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวในระหว่างการพิจารณาของโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏตามเอกสารแนบท้ายฎีกาโจทก์หมายเลข 4 ว่าศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยชั่วคราวแล้วตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2539 ก่อนโจทก์ยื่นฎีกา ซึ่งเมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้แล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวมีอำนาจในการเก็บรวบรวมและรับเงิน หรือทรัพย์สินซึ่งจะตกได้แก่ลูกหนี้หรือซึ่งลูกหนี้มีสิทธิจะได้รับจากผู้อื่นแม้แต่คำสั่งของศาลที่ให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินของลูกหนี้ไว้ชั่วคราว หรือหมายบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้นั้น จะใช้ยันแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ไม่ได้ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22(2) และมาตรา 110 วรรคหนึ่งตามลำดับ ดังนั้นโจทก์จึงไม่อาจที่จะฎีกาขอให้ศาลในคดีนี้มีคำสั่งกำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264อีก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้ยกคำร้องของโจทก์นั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
พิพากษายืน

Share