คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7518/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คดีที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากที่ดินอันเป็นทรัพย์สินของโจทก์โดยมิได้เรียกให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายไม่เกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินของจำเลยแม้จำเลยถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในระหว่างพิจารณาก็ไม่จำต้องเรียกเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้ามาในคดี โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้ทำสัญญาเช่าที่ดินของโจทก์แล้วได้นำที่ดินไปให้บุคคลภายนอกเช่าช่วงโดยมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบและไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์อันเป็นการทำผิดสัญญาส่วนการกระทำของจำเลยที่ว่านำที่ดินให้ผู้ใดเช่าและเป็นการผิดสัญญาข้อใดนั้นเป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณาไม่จำเป็นต้องกล่าวในคำฟ้องคำฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 1026เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2521 จำเลยได้ทำสัญญาและจดทะเบียนแบ่งเช่าที่ดินดังกล่าวกับโจทก์มีกำหนด 10 ปี จำเลยยอมเสียค่าเช่าให้โจทก์เป็นเงิน 771,600 บาท โดยคิดค่าเช่า 10 ปีแรกเดือนละ3,165 บาท 10 ปีหลังเดือนละ 3,265 บาท และตกลงกันว่าจำเลยจะนำที่ดินไปให้ผู้อื่นเช่าช่วงมิได้ รายละเอียดปรากฎตามสำเนาหนังสือสัญญาเช่าท้ายฟ้องหลังจากทำสัญญาเช่าแล้วจำเลยผิดสัญญาโดยได้นำที่ดินไปให้บุคคลภายนอกเช่าช่วงโดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์ได้มอบอำนาจให้ทนายความบอกเลิกสัญญาเช่าไปยังจำเลยและจำเลยได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าเรียบร้อยแล้ว แต่จำเลยและบริวารเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์และให้ส่งมอบที่ดินใสสภาพเรียบร้อย
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะมิได้ระบุว่าจำเลยได้นำที่ดินไปให้บุคคลใดเช่าช่วง จำเลยไม่ทราบว่าได้นำที่ดินให้ใครเช่าช่วงตั้งแต่เมื่อใด จำเลยไม่เคยผิดสัญญาเช่า ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 1026 ตำบลราษฎร์บูรณะ (บางพึ่ง)อำเภอราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร และให้ส่งมอบที่ดินในสภาพเรียบร้อย จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ส่วนฎีกาจำเลยข้อ ก. ที่ว่า ศาลเห็นว่าโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยโดยไม่ได้เรียกค่าเสียหายจึงให้จำเลยต่อสู้คดีได้โดยไม่จำต้องเรียกเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้ามาในคดีเป็นการไม่ชอบ เพราะจำเลยถูกฟ้องให้เป็นบุคคลล้มละลายและศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยแล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยเรื่องขับไล่ผิดสัญญาเช่าเกี่ยวกับที่ดินซึ่งโจทก์เป็นเจ้าของอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่ง เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยแล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เท่านั้นมีอำนาจจัดการและรวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้หรือฟ้องต่อสู้คดีใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ ศาลจึงไม่อาจมีคำสั่งใด ๆ ให้จำเลยต่อสู้คดีได้เพียงลำพังและไม่ชอบด้วย มาตรา 22, 23, 24, 25 และ 26 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 นั้น เห็นว่า คดีนี้เป็นคดีที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากที่ดินพิพาทอันเป็นทรัพย์สินของโจทก์ โดยมิได้เรียกให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายจึงไม่เกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินของจำเลย คำสั่งและคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองที่ให้จำเลยต่อสู้คดีได้โดยลำพังนั้นชอบแล้ว ส่วนคำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยอ้างมานั้น ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยฎีกาในข้อ ค. ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ทำให้จำเลยหลงข้อต่อสู้นั้น เห็นว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาแล้วว่า จำเลยได้ทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทของโจทก์แล้วได้นำที่ดินพิพาทไปให้บุคคลภายนอกเช่าช่วงโดยมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบและไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ อันเป็นการทำผิดสัญญาซึ่งเป็นการแสดงถึงข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาและขอให้บังคับจำเลยออกไปจากที่พิพาท อันเป็นคำขอบังคับครบถ้วน ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้ว ส่วนการกระทำของจำเลยที่ว่านำที่ดินพิพาทให้ผู้ใดเช่าและเป็นการผิดสัญญาข้อใดนั้น เป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบให้เห็นได้ในชั้นพิจารณา ไม่จำเป็นต้องกล่าวในคำฟ้อง คำฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมานั้นชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share