แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้มีสิทธิควรได้มฤดกต่างปกครองทรัพย์เป็นส่วนเป็นสัดมาเกินอายุความมฤดกแล้วใครปกครองเท่าใดก็ได้กรรมสิทธิเท่านั้นทรัพย์นอกสำนวนซึ่งมิได้ฟ้องร้องกันศาลไม่วินิจฉัยให้
ย่อยาว
คดีนี้ศาลเดิมตัดสินให้ที่นาหมายเลข ๑-๕ เป็นสิทธิแก่โจทก์ เพราะตั้งแต่บิดามารดายกให้โจทก์ได้ปกครองทำกินมา ๑๗ ปีแล้ว ส่วนที่นาหมายเลข ๒-๓-๔-๖ โจทก์กับนางทุเรียนได้ปกครองร่วมกันมาแลเด็กหญิงบุญช่วยซึ่งเป็นหลานสืบสายโลหิตของ ร.ก็ควรได้ส่วนแบ่งด้วย จึงให้แบ่งที่นาหมายเลข ๒-๓ ๔-๖ ออกเป็น ๓ ส่วน ให้แก่โจทก์จำเลยคนละ ๑ ส่วน
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ข้อที่โจทก์จำเลยต่างเถียงกันว่า ร.ยกที่นาให้แก่ตนนั้น หามีสิ่งสำคัญมาแสดงไม่โฉนดยังคงมีชื่อ ร.ก.อยู่ การที่โจทก์จำเลยต่างผลัดเปลี่ยนกันทำนามาก็โดยอาศัย ร.ตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่พอฟังว่าฝ่ายใดขาดกรรมสิทธิ จึงตัดสินแก้ให้เอาที่นาหมายเลข ๑-๕ มารวมแบ่งเป็นมฤดกด้วยนอกนั้นยืนตาม
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่พิภาษนี้ในโฉนดยังมีชื่อบิดามารดาอยู่ตามเดิม เมื่อ ก.มารดาโจทก์แลนางทุเรียนจำเลยตายแล้วหลายปี ร.บิดาก็ไปบวช โจทก์แลนางทุเรียนต่างได้ปกครองทำนามาเป็นแปลง ๆ คือโจทก์ทำนาหมายเลข ๑-๒-๕ นางทุเรียนทำนาหมายเลข ๓-๔-๖ แลเมื่อ ร.บิดาตายแล้ว โจทก์แลนางทุเรียนก็คงทำนาอยู่ในที่เดิมจนบัดนี้เป็นเวลา ๔ ปี ฉนั้นการที่โจทก์นำนามาจะฟังว่าได้ปกครองโดยอำนาจปรปักษ์ไม่ได้ แต่โจทก์แลนางทุเรียนจำเลยต่างได้ปกครองเป็นส่วนเป็นสัดกันมาตั้งแต่ ร.ตายเกินอายุความมฤดกแล้ว จึงตัดสินแก้ให้โจทก์แลนางทุเรียนได้ที่นาเป็นกรรมสิทธิตามที่ปกครองมา ส่วนเด็กหญิงบุญช่วยไม่ปรากฎว่าได้เข้ามาเกี่ยวข้องในที่นา ๖ แปลงนี้ แลข้อที่นำสืบว่า เมื่อ ร.ตายได้ ๕ วันตนได้ไปขอนาแปลง ๙ ไร่ ( ซึ่งไม่ใช่นาตามบัญชีท้ายฟ้องโจทก์ ) ต่อโจทก์ ๆ พูดรับรองว่าจะแบ่งให้เมื่อโตนั้น นาแปลงนี้ตนก็หาได้ฟ้องแย้งขึ้นมาไม่ เป็นทรัพย์นอกคดีซึ่งยังไม่ควรวินิจฉัยในเวลานี้