แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
อุทธรณ์ที่มีเนื้อหาสาระเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
คดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าว ก็เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 242 (1) ศาลฎีกาพิจารณาข้อฎีกาต่อไปไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๒ และเป็นผู้ขับรถบรรทุกของจำเลยที่ ๒ ไปในทางการที่จ้างขณะที่เกิดเหตุด้วยความประมาทเป็นเหตุให้พุ่งเข้าชนท้ายรถบรรทุกสิบล้อที่โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยได้รับความเสียหายโจทก์ได้เสียค่าซ่อมไปเป็นเงิน ๑๕,๐๐๐ บาท จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงินจำนวน ๑๕,๐๐๐ บาทให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ
ต่อมาโจทก์ยื่นคำบอกกล่าวขอถอนฟ้องเฉพาะจำเลยที่ ๑ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า เหตุที่เกิดรถชนกันขึ้นเพราะความประมาทของคนขับรถบรรทุกสิบล้อซึ่งโจทก์เป็นผู้รับประกันภัย จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ขอให้ยกฟ้อง
ชั้นพิจารณา คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี เอกสารหมาย จ.๑, จ.๒ และ ล.๑ และขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดคดีไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีดังกล่าว โดยคู่ความต่างไม่ติดใจสืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัย ว่าเหตุที่รถชนกันดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะความประมาทเลินเล่อของทั้งสองฝ่ายไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกินสองหมื่นบาท คู่ความต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๖) พ.ศ.๒๕๑๘ มาตรา ๓ ได้ความว่าศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยฟังข้อเท็จจริงตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย จ.๑, จ.๒ และ ล.๑ ว่ารถของจำเลยที่ ๒ ขับมาด้วยความเร็ว ก่อนถึงสี่แยกที่เกิดเหตุประมาณ ๑๐๐ เมตร ได้แซงรบรรทุกสิบล้อหมายเลขทะเบียน ๘๐-๒๔๖๑ บุรีรัมย์ แล้วเลี้ยวขวาตรงทางแยกโดยไม่ให้สัญญาณ ส่วนรถบรรทุกสิบล้อหมายเลขทะเบียน ๘๐-๒๔๖๑บุรีรัมย์ ซึ่งเอาประกันภัยไว้กับโจทก์ก็ขับมาด้วยความเร็ว และกำลังจะแซงรถของจำเลยที่ ๒ ทางด้านขวาได้หักรถหลบรถของจำเลยที่ ๒ ที่กำลังจะเลี้ยวขวาแต่หลบไม่พ้น จึงชนรถของจำเลยที่ ๒ ที่ประตูรถด้านขวา รถบรรทุกสิบล้อหมายเลขทะเบียน๘๐-๒๔๖๑ บุรีรัมย์ เสียหลัก (แล่นชนลวดสลิงเสาไฟฟ้าขาด) คว่ำลงข้างถนน แล้วรถของจำเลยที่ ๒ ได้แล่นไปชนท้ายรถบรรทุกสิบล้อหมายเลขทะเบียน ๘๐-๒๔๖๑ บุรีรัมย์ ซึ่งคว่ำอยู่ก่อนแล้ว เหตุที่รถชนกันดังกล่าวเกิดจากความประมาทของทั้งสองฝ่ายไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันโจทก์อุทธรณ์ ๒ ข้อโดยอุทธรณ์ในข้อ ๒ (ก) เป็นใจความว่า ตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี คนขับรถของจำเลยที่ ๒ ยินยอมให้พนักงานสอบสวนเปรียบเทียบปรับในข้อหาขับรถโดยประมาทชนท้ายรถบรรทุกสิบล้อหมายเลขทะเบียน ๘๐-๒๔๖๑ บุรีรัมย์ ซึ่งโจทก์ผู้รับประกันภัยไว้เสียหาย ส่วนคนขับรถคันที่โจทก์รับประกันภัยนั้นพนักงานสอบสวนเปรียบเทียบปรับในข้อหาขับรถโดยประมาทชนเสาไฟฟ้าเสียหายศาลชั้นต้นชอบที่จะฟังข้อเท็จจริงตามที่คนขับรถของจำเลยที่ ๒ ยินยอมให้พนักงานสอบสวนเปรียบเทียบปรับ ไม่ชอบที่จะวินิจฉัยว่าคนขับรถคันที่โจทก์รับประกันภัยขับรถโดยประมาทชนรถของจำเลยที่ ๒ เสียหายและอุทธรณ์ในข้อ ๒ (ข) ว่าตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีจำเลยที่ ๒ เสนอจะชดใช้ค่าเสียหายให้เจ้าของรถคันที่โจทก์รับประกันภัย แสดงว่าจำเลยที่ ๒ รู้ตัวว่าเป็นฝ่ายประมาท แต่ศาลชั้นต้นไม่หยิบยกประเด็นข้อนี้ขึ้นวินิจฉัย ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า อุทธรณ์ของโจทก์มิได้อุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีที่รถทั้งสองคันเกิดชนกันขึ้นอย่างไรนอกเหนือไปจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏในรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี แต่อุทธรณ์โต้แย้งข้อที่ศาลชั้นต้นไม่รับฟังตามที่พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาและเปรียบเทียบปรับคนขับรถทั้งสองฝ่ายและไม่หยิบยกเรื่องที่จำเลยที่ ๒ ต่อราคาค่าเสียหายขึ้นวินิจฉัยว่ารถของจำเลยที่ ๒ เป็นฝ่ายประมาท ซึ่งล้วนแต่มีเนื้อหาสาระเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้น อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองข้อจึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ข้อ ๒ (ข) นั้นชอบแล้ว ส่วนที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ข้อ ๒ (ก) นั้น เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๒ (๑) เมื่อศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจรับพิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์แล้ว ศาลฎีกาก็พิจารณาข้อฎีกาของโจทก์ต่อไปไม่ได้
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และฎีกาของโจทก์.