คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4017/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีให้ตามที่โจทก์ขอแต่สั่งให้งดการบังคับคดีไว้ก่อนจนกว่าจะสิ้นระยะเวลาอุทธรณ์และจำเลยมิได้ขอให้ทุเลาการบังคับคดีนั้น แม้จำเลยทั้งสองมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นอันมีผลให้คำสั่งที่ให้งดการบังคับคดีดังกล่าวสิ้นสุดลง แต่เมื่อโจทก์ได้ขอหมายบังคับคดีภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันสิ้นระยะเวลาที่กำหนดไว้ในคำบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 260 (2) คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ความคุ้มครองชั่วคราวแก่โจทก์ก่อนพิพากษาตามมาตรา 254 (2) โดยการห้ามโอน ขาย ยักย้ายทรัพย์มรดกพิพาทนั้นย่อมมีผลอยู่ต่อไป
การบังคับคดีนั้นเป็นอำนาจของคู่ความที่ชนะคดีจะพิจารณาดำเนินการตามกฎหมาย เมื่อคดียังไม่ถึงที่สุดเพราะโจทก์อุทธรณ์และโจทก์ไม่อาจทราบได้ว่าจะได้รับส่วนแบ่งในทรัพย์พิพาทเป็นจำนวนเงินเท่าใด โจทก์ย่อมมีสิทธิรอให้คดีถึงที่สุดเสียก่อนจึงดำเนินการบังคับคดีต่อไป ทั้งการที่โจทก์ขอให้ห้ามโอนขาย ยักย้ายทรัพย์มรดกพิพาททั้งหมดก็เพราะโจทก์อ้างว่ามีสิทธิได้รับมรดก 1 ใน 3 ส่วนทุกรายการจึงไม่เป็นการห้ามเกินความจำเป็น
คำร้องของจำเลยที่ขอให้ศาลสั่งจำหน่ายและแบ่งทรัพย์มรดกพิพาทซึ่งศาลได้มีคำสั่งห้ามโอน ขาย ยักย้าย ดังกล่าวอันพออนุโลมได้ว่าเป็นการร้องขอเพื่อให้ศาลมีคำสั่งกำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอในระหว่างพิจารณาหรือเพื่อบังคับตามคำพิพากษาดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 นั้น เมื่อไม่มีเหตุผลเพียงพอ ศาลย่อมสั่งยกคำร้องโดยไม่จำต้องไต่สวน.

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองส่งมอบทรัพย์มรดกของร้อยเอกคง คุปตัษเฐียร ผู้วายชนม์แก่โจทก์ ๑ ใน ๓ ส่วนเป็นเงิน ๑๖๐,๘๘๐,๗๐๓ บาท ๓๒ สตางค์ ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ยื่นคำร้องขอให้คุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาและศาลชั้นต้นมีคำสั่งห้ามมิให้จำเลยทั้งสองโอนขายยักย้ายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างรายพิพาทตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องตั้งแต่อันดับ ๑ ถึง ๕๑ ยกเว้นอันดับที่ ๘ และที่ ๑๒ ที่ได้โอนแก่บุคคลภายนอกแล้วจนกว่าคดีจะถึงที่สุด เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ แบ่งทรัพย์มรดกตามฟ้องบางส่วนแก่โจทก์แล้ว โจทก์ยื่นคำขอให้ออกหมายบังคับคดีโดยอ้างว่าจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีให้แต่ได้สั่งให้งดการบังคับคดีไว้ก่อนจนกว่าจะสิ้นระยะเวลาอุทธรณ์และจำเลยมิได้ขอทุเลาการบังคับคดี
จำเลยทั้งสองไม่อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นแต่ยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์สั่งเพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาของศาลชั้นต้นที่สั่งห้ามโอน ขาย ยักย้ายทรัพย์มรดกพิพาทดังกล่าว และให้จำเลยที่ ๑ ทำการแบ่งทรัพย์มรดกพิพาทดังกล่าวแก่จำเลยที่ ๒ และโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านขอให้ยกคำร้องของจำเลยทั้งสอง
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีไม่เต็มตามฟ้อง โจทก์ได้ขอหมายบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๖๐ (๒) ไว้แล้ว ที่จำเลยทั้งสองขอให้เพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลชั้นต้นและขอให้แบ่งทรัพย์มรดกตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นนั้นเห็นว่าคดียังไม่ถึงที่สุด ยังไม่สมควรดำเนินการตามที่จำเลยขอ ทั้งปรากฏว่าจำเลยเป็นฝ่ายครอบครองทรัพย์มรดกส่วนใหญ่ โดยจำเลยที่ ๑ เป็นผู้จัดการอยู่แล้วถ้าจะรอให้แบ่งเมื่อคดีถึงที่สุด ไม่น่าจะทำให้จำเลยเสียหาย จึงให้ยกคำร้อง
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองฎีกาข้อแรกว่า การที่ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีให้ตามที่โจทก์ขอแต่ได้สั่งให้งดการบังคับคดีไว้ก่อนจนกว่าจะสิ้นสุดระยะเวลาอุทธรณ์และจำเลยมิได้ขอทุเลาการบังคับคดีนั้น เมื่อปรากฏว่าโจทก์ยื่นอุทธรณ์ฝ่ายเดียว จำเลยทั้งสองมิได้ยื่นอุทธรณ์ คำสั่งที่ให้งดการบังคับคดีดังกล่าวย่อมสิ้นสุดไปตั้งแต่วันสิ้นสุดระยะเวลาอุทธรณ์ เท่ากับไม่มีการงดการบังคับคดีและการที่โจทก์ยึดทรัพย์ไว้ทั้งหมดทำให้จำเลยทั้งสองเสียเปรียบกับการใช้ประโยชน์ในตัวทรัพย์ ทั้งการยึดทรัพย์นั้นจะต้องยึดเพื่อจำหน่าย มิใช่ยึดไว้เฉยๆ และการยึดทรัพย์พิพาทเป็นการยึดเกินความจำเป็น พิเคราะห์แล้วเห็นว่าเมื่อจำเลยทั้งสองมิได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้น คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งให้งดการบังคับคดีไว้ย่อมสิ้นสุดลงดังที่จำเลยทั้งสองกล่าวอ้าง แต่ปรากฏว่าโจทก์ได้ขอหมายบังคับคดีภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่สิ้นระยะเวลาที่กำหนดไว้ในคำบังคับ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๖๐ (๒) ดังนั้นคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ความคุ้มครองชั่วคราวแก่โจทก์ก่อนพิพากษาตามมาตรา ๒๕๔ (๒) นั้น ย่อมมีผลอยู่ต่อไป มิได้ถูกยกเลิก และจำเลยที่ ๑ เป็นผู้จัดการทรัพย์มรดกพิพาทมีสิทธิตามกฎหมายที่จะใช้ประโยชน์เกี่ยวกับตัวทรัพย์มรดกอยู่แล้ว จึงไม่เสียเปรียบเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ทรัพย์มรดกแต่อย่างใด กลับจะได้เปรียบเสียอีก ส่วนเรื่องการยึดทรัพย์โดยไม่จัดการจำหน่ายทรัพย์นั้น เห็นว่าคดีนี้ ยังมิได้มีการยึดทรัพย์มรดกพิพาท โดยศาลชั้นต้นเพียงแต่มีคำสั่งห้ามโอน ขาย ยักย้าย ทรัพย์มรดกพิพาทเท่านั้น และเห็นว่าการบังคับคดีเป็นอำนาจของคู่ความฝ่ายที่ชนะคดี จะพิจารณาดำเนินการตามกฎหมาย สำหรับคดีนี้ยังไม่ถึงที่สุดโจทก์ไม่อาจทราบได้ว่าจะได้รับส่วนแบ่งในทรัพย์พิพาทเป็นจำนวนเงินเท่าใดโจทก์ย่อมมีสิทธิรอให้คดีถึงที่สุดเสียก่อนจึงดำเนินการบังคับคดีต่อไปก็ได้ และการที่โจทก์ขอให้ห้ามโอน ขาย ยักย้ายทรัพย์มรดกรายพิพาททั้งหมดนั้นก็เพราะทรัพย์มรดกเป็นอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ซึ่งโจทก์อ้างว่ามีสิทธิได้รับมรดก ๑ ใน ๓ ส่วนทุกรายการ จึงไม่เป็นการห้ามที่เกินความจำเป็นแต่อย่างใด ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
จำเลยทั้งสองฎีกาข้อต่อไปขอให้ศาลฎีกาอนุญาตให้จำเลยที่ ๑ จัดการจำหน่ายทรัพย์มรดกทั้งหมดแล้วแบ่งเงินให้โจทก์ไปตามส่วนที่กำหนดไว้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือกว่านั้นแล้วนำเงินตามทุนทรัพย์ที่พิพาทกันมาวางศาล และให้จำเลยทั้งสองรับเงินค่าจำหน่ายทรัพย์มรดกที่เหลือไปทั้งนี้เพราะมีผู้บุกรุกที่ดินของกองมรดกและทางราชการอาจขึ้นภาษีที่ดินจะทำให้ที่ดินมรดกราคาลดน้อยลง พิเคราะห์แล้วเห็นว่าคำร้องของจำเลยทั้งสองนั้นพออนุโลมถือได้ว่าเป็นการร้องขอเพื่อให้ศาลมีคำสั่งกำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอในระหว่างพิจารณาหรือเพื่อบังคับตามคำพิพากษาดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๖๔ สมควรวินิจฉัยให้โดยไม่จำต้องมีการไต่สวนคำร้องดังกล่าวเสียก่อน สำหรับข้ออ้างเรื่องมีผู้บุกรุกที่ดินมรดกนั้นบางแปลง เห็นว่าจำเลยที่ ๑เป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาล เมื่อมีผู้บุกรุกที่ดินมรดกก็ย่อมเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ ที่จะต้องดำเนินการฟ้องร้องขับไล่ผู้บุกรุกให้ออกไปจากที่ดินมรดก แม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายในการฟ้องร้องอยู่บ้างก็ตาม สำหรับที่ดินมรดกบางแปลงที่ยังไม่มีผู้บุกรุกก็ย่อมเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ ที่จะต้องดูแลป้องกันมิให้มีผู้บุกรุกต่อไป กรณียังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขายที่ดินมรดกดังกล่าวส่วนข้ออ้างเรื่องการที่รัฐบาลจะขึ้นภาษีมรดกนั้นก็เป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองคาดคะเนเอาเอง และแม้ถึงหากจะมีการขึ้นภาษีมรดกจริง จำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้จัดการมรดกก็ย่อมมีหน้าที่จะต้องชำระค่าภาษีมรดกที่เพิ่มขึ้นตามกฎหมายอยู่แล้ว การอ้างว่าควรรีบขายที่ดินพิพาทเพื่อหลีกเลี่ยงค่าภาษีมรดกจะเพิ่มขึ้นนั้นย่อมเป็นข้ออ้างเพื่อหลีกเลี่ยงภาระหน้าที่ตามกฎหมายและไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกระทำเช่นนั้น จึงฟังไม่ขึ้น สำหรับค่าภาษีอากรอื่นๆ และค่าบำรุงรักษาทรัพย์มรดกนั้น ก็เป็นหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ ผู้จัดการทรัพย์มรดกจะต้องจัดการเสียภาษีอากรดังกล่าวและค่าบำรุงรักษาทรัพย์มรดก หากจำเลยที่ ๑ ไม่มีเงินพอชำระค่าภาษีอากรและค่าบำรุงรักษาทรัพย์มรดกแล้ว จำเลยที่ ๑ ก็น่าจะแสดงบัญชีรายได้จากผลประโยชน์อันพึงได้จากทรัพย์มรดกทั้งปวง และรายจ่ายต่างๆ ต่อศาลเพื่อเป็นการแสดงให้เป็นที่ประจักษ์ว่าจำเลยที่ ๑ ไม่มีเงินชำระค่าภาษีอากรและค่าใช้จ่ายดังกล่าวจึงต้องขอให้ศาลสั่งขายทรัพย์มรดก แต่ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ ได้เสนอบัญชีดังกล่าว ข้ออ้างของจำเลยที่ ๑ จึงเลื่อนลอยไม่เพียงพอที่จะขอให้ศาลสั่งจำหน่ายทรัพย์มรดกและแบ่งทรัพย์มรดกตามคำร้อง กล่าวโดยสรุปแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับคำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่สั่งยกคำร้องของจำเลยทั้งสอง ฎีกาทุกข้อของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share