แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมแล้วพิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยจำเลยฎีกาว่า จำเลยมิได้ขับรถประมาท โจทก์เป็นฝ่ายประมาท จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ขอให้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยตามฟ้องแย้งดังนี้ จำเลยมิได้ฎีกาโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่พิพากษาให้ยกอุทธรณ์ของจำเลยว่าไม่ชอบอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ได้ขับรถโดยประมาทไปจอดข้างทางแล้วไม่เปิดไฟหรือจุดไฟให้เห็นว่ามีรถจอดอยู่ เป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งขับรถมาทางข้างหลังมองไม่เห็นและชนรถจำเลย ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้จำเลยร่วมกันชดใช้เป็นเงิน 19,550 บาท
จำเลยทั้งสองให้การและจำเลยที่ 2 ฟ้องแย้งว่า โจทก์เป็นฝ่ายประมาทขับรถมาชนรถของจำเลยที่ 2 เสียหาย ขอให้ชดใช้เป็นเงิน 7,500 บาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า เหตุเกิดขึ้นเพราะจำเลยที่ 1 ประมาท และค่าเสียหายที่จำเลยที่ 2 เรียกมาสูงเกินไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงินแก่โจทก์ 18,200 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่า โจทก์เป็นฝ่ายประมาท จำเลยไม่ต้องรับผิด
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 มาตรา 3 พิพากษายกอุทธรณ์จำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยที่ 1 มิได้ขับรถโดยประมาทโจทก์เป็นฝ่ายประมาทจำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ขอให้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยตามฟ้องแย้ง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามฎีกาของจำเลยทั้งสองปรากฏว่ามิได้ฎีกาโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่พิพากษาให้ยกอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองว่าไม่ชอบอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายกฎีกาของจำเลยทั้งสอง