คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4617/2549

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

เหตุที่จำเลยอ้างว่าการกักขังไม่เป็นผลดีต่อครอบครัวจำเลย จำเลยมีภริยาและบุตรที่ต้องอุปการะเลี้ยงดู ต้องขับรถไปส่งภริยาเพื่อไปค้าขายที่ตลาดทุกวันเพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว จึงขอให้จำเลยถูกกักขังอยู่ที่บ้านของจำเลย โดยให้ภรรยาเป็นผู้ควบคุมความประพฤติของจำเลยนั้น ยังไม่พอฟังว่าการกักขังจำเลยไว้ที่บ้านของจำเลยจะมีความเหมาะสมกับประเภทหรือสภาพของจำเลยอย่างไร จึงไม่มีเหตุอันสมควรที่จะสั่งให้กักขังจำเลยไว้ที่บ้านของจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 24

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (2) (4), 78, 157, 160 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (2) (4), 78 วรรคหนึ่ง, 157, 160 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษ ฐานขับรถในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น จำคุก 2 เดือน และปรับ 6,000 บาท ฐานขับรถโดยประมาทสองกระทง ปรับกระทงละ 1,000 บาท ฐานไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือตามสมควรพร้อมแสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันทีสองกระทง ปรับกระทงละ 6,000 บาท รวมจำคุก 2 เดือน และปรับ 20,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 เดือน และปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี ให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานควบคุมประพฤติ 3 ครั้ง ภายในเวลาที่รอการลงโทษ และให้กระทำกิจกรรมบริการสังคมและสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
โจทก์อุทธรณ์ โดยอธิบดีอัยการฝ่ายคดีศาลสูงเขต 7 ซึ่งอัยการสูงสุดมอบหมายรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า การขับรถในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่นและการขับรถโดยประมาท เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานขับรถในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกกระทงละ 15 วัน รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 30 วัน ฐานไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควร จำคุกกระทงละ 15 วัน รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 30 วัน รวมจำคุก 60 วัน ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 30 วัน (ที่ถูกโดยไม่ปรับและไม่คุมความประพฤติจำเลย) และให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยเพียงประการเดียวว่า จะสมควรส่งตัวจำเลยไปกักขังที่บ้านของจำเลยหรือไม่ เห็นว่า แม้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 24 วรรคสอง จะให้ดุลพินิจแก่ศาลที่จะสั่งในคำพิพากษาให้กักขังผู้กระทำผิดไว้ในที่อาศัยของผู้นั้นเอง หรือของผู้อื่นที่ยินยอมรับผู้นั้นไว้หรือสถานที่อื่นที่อาจกักขังได้ เพื่อให้เหมาะสมกับประเภทหรือสภาพของผู้ถูกกักขังก็ตาม แต่ก็จะต้องเป็นกรณีที่ศาลเห็นเป็นการสมควรว่าสถานที่ดังกล่าวมีความเหมาะสมกับประเภทหรือสภาพของผู้ถูกกักขังด้วย ที่จำเลยอ้างในฎีกาว่า การกักขังไม่เป็นผลดีต่อครอบครัวจำเลย จำเลยมีภริยาและบุตรที่ต้องอุปการะเลี้ยงดู ต้องขับรถไปส่งภริยาเพื่อไปค้าขายที่ตลาดทุกวันเพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว จึงขอให้จำเลยถูกกักขังอยู่ที่บ้านซึ่งเป็นที่อาศัยของจำเลย โดยให้ภริยาเป็นผู้ควบคุมความประพฤติของจำเลยนั้น ข้ออ้างดังกล่าวยังไม่พอฟังว่าการกักขังจำเลยไว้ที่บ้านของจำเลยจะมีความเหมาะสมกับประเภทหรือสภาพของจำเลยอย่างไร กรณียังไม่มีเหตุอันสมควรที่จะสั่งให้กักขังจำเลยไว้ที่บ้านของจำเลยตามที่ขอ ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share