แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลแขวงพิพากษายกฟ้องโดยฟังว่าจำเลยขาดเจตนาทุจริตโจทก์ อุทธรณ์ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริต ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนดังนี้อุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา22 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง(ฉบับที่ 2)พ.ศ.2503 มาตรา 10 การที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยมี เจตนาทุจริต เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อคดีของโจทก์ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงแล้ว โจทก์จึงยกข้อเท็จจริงขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกาไม่ได้ เพราะเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์โดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2518 มาตรา 7 ศาลฎีกาพิพากษาให้ยกฎีกาโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเจตนาทุจริตหลอกลวงโจทก์ด้วยความอันเป็นเท็จว่า ที่ดินที่โจทก์ตั้งบ้านเรือนอยู่เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ให้โจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อมิฉะนั้นจำเลยจะฟ้องขับไล่ โจทก์หลงเชื่อและเกรงว่าจะถูกฟ้องขับไล่ จึงได้ทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินกับจำเลยเนื้อที่ 75 ตารางวา ราคา 67,500 บาท ผ่อนชำระรายเดือนเดือนละ 1,350 บาท จำเลยรับเงินค่าเช่าซื้องวดแรกไปจากโจทก์แล้วในวันทำสัญญา ต่อมาโจทก์ทราบความจริงว่าที่ดินที่โจทก์เช่าซื้อนั้นจำเลยมิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ หากเป็นเพียงผู้จะซื้อจากผู้อื่นเท่านั้น การกระทำของจำเลยเป็นการฉ้อโกงโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 342(2)
ศาลชั้นต้นรับทำการไต่สวนมูลฟ้องเฉพาะข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลแขวง และเมื่อไต่สวนแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยฟังว่า จำเลยให้โจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อกับจำเลยเพราะเข้าใจโดยสุจริตว่าจำเลยมีสิทธิเอาที่ดินที่ได้ทำสัญญาจะซื้อกับผู้อื่นไปให้เช่าซื้อได้ การกระทำของจำเลยจึงขาดเจตนาทุจริต โจทก์อุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยมีเจตนาทุจริตแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 22 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2503 มาตรา 10 โจทก์ฎีกาว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อคดีของโจทก์ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงแล้ว โจทก์จึงยกข้อเท็จจริงขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกาไม่ได้ เพราะเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์โดยชอบ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 มาตรา 7
พิพากษาให้ยกฎีกาโจทก์