แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเอาทรัพย์ไปจากผู้เสียหายก็เนื่องจากจำเลยไม่ต้องการให้ผู้เสียหายนำไปขายเล่นการพนัน แสดงว่าจำเลยหาได้มีเจตนาที่จะเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับจำเลยหรือผู้อื่นแต่อย่างใด จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานชิงทรัพย์ คงมีความผิดเฉพาะฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับอันตรายแก่กายตาม ป.อ. มาตรา 295
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๙ วรรคสอง , วรรคสาม ประกอบมาตรา ๓๓๕ (๗) , ๒๙๕
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๙ วรรคสอง , วรรคสาม , ๒๙๕ อันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษจำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ ฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย จำคุก ๑๐ ปี ชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๖ ปี ๘ เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยกับผู้เสียหายอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส ก่อนวันเกิดเหตุผู้เสียหายกับจำเลยทะเลาะโต้เถียงกันแล้วจำเลยหนีออกจากบ้าน ครั้นวันเกิดเหตุจำเลยไปพบผู้เสียหายที่บ้านที่เกิดเหตุและขอคืนดีกับผู้เสียหาย ผู้เสียหายขอค่าทำขวัญเป็นเงิน แต่ตกลงจำนวนเงินกันไม่ได้ จำเลยโกรธทำร้ายผู้เสียหายและเอาสร้อยคอทองคำ ๒ เส้น แหวนทองคำ ๓ วง กับตุ้มหูทองคำ ๑ คู่ ไปจากผู้เสียหายแล้วหลบหนีไป ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายจากการที่ถูกจำเลยทำร้าย ตามรายงานการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์เอกสารหมาย จ. ๓ ต่อมาหลังเกิดเหตุจำเลยนำสร้อยคอทองคำ แหวนทองคำ และตุ้มหูทองคำดังกล่าวทั้งหมดคืนให้แก่ผู้เสียหาย โดยจำเลยกับผู้เสียหายกลับมาอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาจนถึงปัจจุบัน มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าจำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองหรือไม่ ในข้อนี้ผู้เสียหายและนางบาง ผาใต้ ป้าผู้เสียหายเบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยตรงกันว่า เหตุที่จำเลยกับผู้เสียหายทะเลาะกัน เนื่องจากผู้เสียหายชอบเล่นการพนัน จำเลยห้ามปราม แต่ผู้เสียหายไม่เชื่อ ผู้เสียหายจะนำสร้อยคอทองคำ แหวนทองคำ และตุ้มหูทองคำไปขายเพื่อเล่นการพนัน จำเลยเอาทรัพย์ดังกล่าวไปจากผู้เสียหายก็เนื่องจากจำเลยไม่ต้องการให้ผู้เสียหายนำไปขายเล่นการพนัน ซึ่งก็สอดคล้องกับข้อนำสืบของจำเลยข้างต้น ข้อเท็จจริงจึงน่าเชื่อว่า เจตนาของจำเลยที่เอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปก็เพื่อจะรักษาทรัพย์นั้นไว้ การกระทำของจำเลยเป็นไปโดยเปิดเผยต่อหน้าผู้อื่น แสดงให้เห็นว่าเป็นการใช้อำนาจของการเป็นสามีปกป้องทรัพย์สินของครอบครัวด้วยความโกรธโดยเข้าใจว่ามีสิทธิกระทำได้ และการที่จำเลยได้นำทรัพย์ทั้งหมดคืนแก่ผู้เสียหายในเวลาต่อมา ก็แสดงว่าจำเลยหาได้มีเจตนาที่จะเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับจำเลยหรือผู้อื่น มิฉะนั้นคงไม่อาจนำทรัพย์ทุกชิ้นของผู้เสียหายมาคืนแก่ผู้เสียหายได้ทั้งหมด การกระทำของจำเลยจึงเป็นการเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปโดยไม่มีเจตนาทุจริต จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานชิงทรัพย์ จำเลยคงมีความผิดเฉพาะฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับอันตรายแก่กาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕ ซึ่งศาลล่างทั้งสองยังมิได้กำหนดโทษสำหรับความผิดฐานนี้ ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดโทษแก่จำเลยไปพร้อมนี้โดยไม่ต้องย้อนสำนวน ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมาว่าจำเลยกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕ จำคุก ๑ ปี และปรับ ๒,๐๐๐ บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด ๒ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ ส่วนโทษปรับนั้น จำเลยต้องขังมาพอแก่โทษแล้วจึงงดปรับ ให้ยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานชิงทรัพย์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๔.