แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์มีพยานปากเดียว เบิกความว่าพบรถจักรยานยนต์ของกลางจอดอยู่บริเวณหน้าบ้านจำเลยจึงยึดไปตรวจสอบ เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายที่ถูก คนร้ายลักไปวันรุ่งขึ้นพยานไปสอบถามจำเลย จำเลยรับว่าซื้อ รถจักรยานยนต์ของกลางมาจากนาย จ. เมื่อพยานแจ้งข้อหาแก่จำเลย จำเลยก็ให้การรับสารภาพฐาน รับของโจร แต่ พยานโจทก์ดังกล่าวเบิกความตอบคำถามค้าน ว่าในวันยึดรถจักรยานยนต์ของกลางไปตรวจสอบพยานไม่ได้สอบถาม จำเลยว่ารถจักรยานยนต์ของกลางเป็นของใคร และจำเลยก็ไม่คัดค้าน หรือโต้แย้งว่ารถจักรยานยนต์ของกลางเป็นของจำเลย คำเบิกความของพยานโจทก์ขัดต่อ เหตุผลมีพิรุธส่วนคำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวน จำเลยก็ต่อสู้ ว่าไม่ได้ให้การด้วย ความสมัครใจพยานหลักฐานของโจทก์จึงยังเป็นที่สงสัยว่าจำเลยรับซื้อ รถจักรยานยนต์ของกลางไว้จากนาย จ. หรือไม่ ต้อง ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 334,335, 357
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 357 จำคุก 4 ปี คำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า มีคนร้ายลักรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไป มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานรับของโจรหรือไม่ ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2530 เวลาประมาณ 16 นาฬิการ้อยตำรวจตรีสัมพันธ์ หอมสินธ์ หัวหน้าชุดปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ประจำกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่กับพวกตรวจผ่านไปทางหน้าบ้านจำเลย พบรถจักรยานยนต์คันหนึ่งไม่มีแผ่นป้ายทะเบียนและแผ่นป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษีประจำปีจอดอยู่หน้าบ้านจำเลย ร้อยตำรวจตรีสัมพันธ์กับพวกจึงได้ยึดรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวไปตรวจสอบที่ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ปรากฏว่ารถจักรยานยนต์คันดังกล่าวเป็นของนางสวาท กีรติปาล ผู้เสียหาย จึงยึดไว้เป็นของกลาง วันที่ 10 สิงหาคม 2530 ร้อยตำรวจตรีสัมพันธ์กับพวกได้ไปสอบถามจำเลยเกี่ยวกับรถจักรยานยนต์ของกลาง จำเลยให้การว่าจำเลยซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางมาจากนายจรัล กันติโรจน์ ในราคา2,000 บาท ร้อยตำรวจตรีสัมพันธ์จึงให้จำเลยพาไปพบนายจรัล จำเลยพาร้อยตำรวจตรีสัมพันธ์กับพวกไปที่บ้านนายจรัลและพบนายจรัลอยู่ที่บ้านร้อยตำรวจตรีสัมพันธ์สอบถามนายจรัล นายจรัลรับว่าได้ลักรถจักรยานยนต์ของกลางมาจากอำเภอเมืองเชียงใหม่ ร้อยตำรวจตรีสัมพันธ์จึงแจ้งข้อหาแก่จำเลยและนายจรัลว่าร่วมกันลักทรัพย์หรือรับของโจร จำเลยให้การรับสารภาพฐานรับของโจร ร้อยตำรวจตรีสัมพันธ์จึงควบคุมตัวจำเลยและนายจรัลไปที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองเชียงใหม่และทำบันทึกการจับกุมจำเลยไว้ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.1ร้อยตำรวจตรีวรชัย อารักษ์รัฐ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองเชียงใหม่ได้แจ้งข้อหาแก่จำเลยว่าร่วมกันลักทรัพย์หรือรับของโจรจำเลยให้การรับสารภาพฐานรับของโจรปรากฏตามคำให้การจำเลยเอกสารหมาย ป.จ.2
จำเลยนำสืบว่า เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2530 นายจรัล กันติโรจน์มาบอกขายรถจักรยานยนต์ของกลางให้แก่จำเลยในราคา 2,000 บาท จำเลยตรวจดูรถแล้วเห็นว่ารถมีสภาพเก่าใช้มาเป็นเวลาประมาณ 10 ปีแล้วจำเลยได้ถามถึงทะเบียนและป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษีประจำปีนายจรัลบอกว่าจะหามาให้ จำเลยจึงไม่ซื้อ ต่อมาเมื่อวันที่ 9สิงหาคม 2530 นายจรัลนำรถจักรยานยนต์ของกลางมาเติมน้ำมันที่ปั๊มน้ำมันของจำเลยและฝากรถไว้ แล้วนายจรัลไปดื่มสุราที่ร้านใกล้ ๆปั๊มน้ำมันของจำเลย หลังจากนั้นประมาณ 1 ชั่วโมง เจ้าพนักงานตำรวจได้มาหาจำเลยและถามหาเจ้าของรถจักรยานยนต์ของกลางจำเลยบอกว่าเป็นของนายจรัล เจ้าพนักงานตำรวจได้ยึดรถจักรยานยนต์ของกลางไป ต่อมานายจรัลมาขอรับรถจักรยานยนต์ของกลางคืนจากจำเลย จำเลยบอกนายจรัลว่าเจ้าพนักงานตำรวจยึดรถจักรยานยนต์ของกลางไป วันที่ 10 สิงหาคม2530 เวลาประมาณ 15 นาฬิกา เจ้าพนักงานตำรวจมาหาจำเลย จำเลยพาเจ้าพนักงานตำรวจไปบ้านนายจรัล เจ้าพนักงานตำรวจได้นำนายจรัลและจำเลยไปสถานีตำรวจและแจ้งข้อหาแก่จำเลยว่ารับของโจร จำเลยให้การปฏิเสธ เจ้าพนักงานตำรวจได้บอกให้จำเลยเซ็นชื่อในกระดาษเปล่าแล้วกลับบ้านได้ จำเลยจึงเซ็นชื่อให้
พิเคราะห์แล้ว โจทก์มีร้อยตำรวจตรีสัมพันธ์ หอมสินธ์ เบิกความยืนยันว่า พยานพบรถจักรยานยนต์ของกลางจอดอยู่บริเวณหน้าบ้านจำเลยจึงยึดไปตรวจสอบเมื่อตรวจสอบแล้วพบว่ารถจักรยานยนต์ของกลางเป็นของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักไปวันรุ่งขึ้นพยานจึงไปสอบถามจำเลย จำเลยรับว่าซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางมาจากนายจรัล เมื่อพยานแจ้งข้อหาแก่จำเลย จำเลยให้การรับสารภาพฐานรับของโจรเห็นว่าคำเบิกความของร้อยตำรวจตรีสัมพันธ์พยานโจทก์ดังกล่าวไม่มีพยานอื่นสนับสนุน และร้อยตำรวจตรีสัมพันธ์เบิกความตอบคำถามค้านว่า ขณะตรวจรถจักรยานยนต์ของกลางได้พูดคุยกับจำเลย แต่ร้อยตำรวจตรีสัมพันธ์กลับไม่สอบถามจำเลยในวันที่ยึดรถจักรยานยนต์ของกลางว่ารถเป็นของใครตามหน้าที่ก่อนที่จะยึดรถไป นอกจากนี้เมื่อร้อยตำรวจตรีสัมพันธ์กับพวกยึดรถจักรยานยนต์ของกลางไป จำเลยก็ไม่คัดค้านหรือโต้แย้งว่ารถจักรยานยนต์ของกลางเป็นของจำเลยคำเบิกความของร้อยตำรวจตรีสัมพันธ์จึงขัดต่อเหตุผลมีพิรุธสำหรับคำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวน จำเลยก็ต่อสู้ว่าไม่ได้ให้การด้วยความสมัครใจ พยานหลักฐานโจทก์จึงยังเป็นที่สงสัยว่าจำเลยรับซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางไว้จากนายจรัลหรือไม่ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล”
พิพากษายืน.